“น้ำมันกัญชา” เพื่อการรักษาโรคสารพัดสารพัน คือ เรื่องเร่งด่วนที่ควรใช้ ม.44 เข้าจัดการ ไม่ล่ะ เอา ม.44 ไปช่วยทีวีดิจิทัลที่ขาดทุน อยากเลิก อยากคืนใบอนุญาต อยากประหยัดค่าสัมปทาน ฯลฯ กับช่วยบริษัทด้านโทรคมนาคมดีกว่า
นี่คือเสียงวิพากษ์ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.
วิมล ไทรนิ่มนวล นักเขียนซีไรต์จากนวนิยายเรื่อง “อมตะ” โพสต์เปรยๆ ในเฟซบุ๊คของเขาว่า “อย่าคิดว่าหมูในอวย” ซึ่งมีเนื้อหาว่า “...รีบๆ เข้ารัฐบาล คสช. รีบสุมไฟในอกคนด้วยการตามใจนายทุนเข้าไว้! ไปไม่รอดหรอก ถ้าคิดว่าเงินที่แจกชาวบ้านจะปิดปากพวกเขาได้ และทำให้พวกเขาสนับสนุนพวกตนต่อไป “ความมั่นคงของประเทศชาติ” ไม่ใช่เรื่องความมั่นคงของพวกมีอำนาจและนายทุน แต่คือความมั่นคงของวิถีชีวิตพลเมือง ที่การปกครองได้เกื้อกูลประโยชน์แก่คนทุกคน อีกไม่นาน.. คนที่สนับสนุนรัฐบาล คสช. จะถอยออกมาเป็นฝ่ายตรงข้ามมากขึ้น และไม่สนใจ “ตัวประกัน” ที่ชื่อ “ความสงบเรียบร้อย” หรือ“ความมั่นคงของประเทศชาติ” ไม่สนว่าฝ่ายอื่นๆ จะทำอะไร ถ้าพวกเขาเห็นว่า “รัฐบาลนี้เป็นแค่รัฐบาลของนายทุน ไม่ใช่ของคนทั้งประเทศ”
ขณะที่ในเพจของ “นายไพศาล พืชมงคล” มีความเห็นหนึ่งจากผู้ที่แสดงโปรไฟล์ว่า “ทำงานที่ กสทช.” ชื่อ Komate Prateepthong ได้โพสต์ในช่องแสดงความเห็นว่า
“...คนไม่รู้ข้อเท็จจริงก็วิพากษ์วิจารณ์ไปในทางเสียหาย แต่ให้คิดง่ายๆ ว่า ปัจจุบันไทยเราใช้ 4G ซึ่งคนทำให้ได้ใช้ 4G คือ เอกชนที่มาประมูลคลื่นเอาไปทำ แต่เขาลงทุนประมูลไปไม่เท่าไรทุนยังไม่ได้คืนเลย รัฐบาลบอกเราจะต้องมี 5G ใช้ก่อนใครๆ ในโลก(แต่ตอนนี้ไม่ทันแล้ว เพราะเกาหลีใต้เขาเริ่มใช้ 5G แล้ว เมื่อต้นเดือนเม.ย. 2562 นี้เอง เป็นประเทศแรกในโลก) และกำลังผลักดันให้มี 5G ในไทยเร็วๆ แต่เอกชนที่จะมาประมูลเขาลงทุน 4G ยังไม่คืนทุนแล้วใครจะมาประมูลล่ะทีนี้ เพราะคนที่จะประมูลก็มีเอกชนรายใหญ่ในบ้านเราที่รู้ๆ ก็ 3 ค่ายคือ ทรู ดีแทค และ เอไอเอส นอกจากนี้ก็ไม่มีใครมาร่วมประมูล 3 ค่ายดังกล่าวบอกว่าไม่ขอประมูลเพราะเงินไม่มีมาประมูล และต้องใช้เงินลงทุนสูงด้วย แต่นโยบายไทยแลนด์ 4.0 ที่จะให้ไทยเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีในทุกๆ ด้านในภูมิภาคพื้นประเทศอาเซียน เพื่อแข่งกับสิงค์โปร มาเลเซีย เวียดนาม ก็จำเป็นต้องเร่งผลักดัน 5G ให้เกิดขึ้นโดยเร็ว จึงจำเป็นต้องผ่อนปรนเรื่องเงินประมูล 4G ที่เขายังไม่คืนทุนเลย เพื่อให้เขามีเงินมาประมูล 5G ต่อไป ซึ่งมาตรการผ่อนปรนดังกล่าวมีเงื่อนไขว่า เอกชนที่ได้รับการผ่อนปรนต้องมาประมูลคลื่น 5 G นะ ถ้าไม่มาประมูลก็จะไม่ได้รับสิทธิจากมาตรการผ่อนปรนนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้และเป็นการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีในภูมิภาคนี้ก็ต้องเห็นว่า มาตรการดังกล่าวสมควรทำอย่างยิ่งเพราะทุกวันนี้การเติบโตทางด้านเทคโนโลยีมันไปเร็วมาก หากเนิ่นช้าก็จะไม่ทันประเทศเพื่อนบ้าน และก็ไม่ใช่เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทนายทุนยักษ์ใหญ่แต่อย่างใด แต่เป็นการทำให้เกิดความเจริญแก่ประเทศโดยรวมด้วย ผมจึงเห็นด้วยอย่างยิ่ง ซึ่งต่างจากสมัยรัฐบาลทักษิณที่เอื้อประโยชน์แก่บริษัทที่คนในรัฐบาลมีผลประโยชน์ร่วมด้วย”
พอผมได้อ่าน กำลังจะเคลิ้มตามทีเดียว พลันก็ต้องสะดุ้งตื่นจากความฝัน เพราะเมื่อวันที่ 28 ก.พ. 2562 ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) โพสต์เฟซบุ๊ค ภายใต้หัวข้อ “นิทาน” เรื่องใหม่ของ กสทช.” ซึ่งมีใจความว่า...
“มีข่าวว่า กสทช. เสนอต่อ คสช. ให้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ออกคำสั่งเพื่อขยายเวลาการชำระค่าประมูลคลื่น 4G ในความถี่ย่าน 900 MHz งวดสุดท้าย ให้แก่ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3 ราย โดยอ้างว่า หากไม่ขยายเวลา อาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศและการประมูลคลื่น 5G ในความถี่ย่าน 700 MHz ซึ่ง กสทช. ต้องการให้เกิดขึ้นในกลางปีนี้
...ก่อนหน้านั้นไม่นาน ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายหนึ่งก็เคยขู่คล้ายๆ กับ กสทช. ว่า จะไม่ร่วมประมูลคลื่น 5G หากไม่ขยายเวลาการชำระค่าประมูลคลื่น 4G
...สำหรับผมแล้ว ทั้งหมดนี้ล้วนเป็น “นิทาน” อีกเรื่องหนึ่งที่พยายามจะผูกเรื่องการ “อุ้ม” ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เข้ากับการประมูลคลื่น 5G ต่อเนื่องจาก “นิทาน” ก่อนหน้านั้นที่พยายามที่จะผูกเรื่องการ “อุ้ม” ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เข้ากับการช่วยเหลือผู้ประกอบการทีวิดิจิทัล แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
...ที่ผมเรียกเรื่องนี้ว่าเป็น “นิทาน” เพราะมันเป็นเพียงเรื่องเล่า ที่ไม่เป็นความจริง เนื่องจากประเทศไทยไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องรีบร้อนประมูลคลื่น 5G ในย่าน 700 MHz ดังที่กสทช. พยายามผลักดัน ด้วยเหตุผลต่างๆ ดังนี้
...หนึ่ง ปัจจุบัน ยังไม่มีบริการ 5G ในเชิงพาณิชย์ที่ชัดเจนดังที่ผู้บริหาร AIS ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่อันดับหนึ่งของไทยเคยกล่าวไว้เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ว่า... “แม้ 5G มีประโยชน์ที่จะทำอะไรใหม่ๆ มากมาย...แต่ไม่ใช่วันนี้” เพราะ “ยังไม่มี Business Case จึงไม่เห็นตอบแทนทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไร้คนขับ หรือ IoT ในโลกนี้ยังไม่เกิดขึ้น” และกล่าวต่อไปว่า
“ที่ผ่านมา AIS ได้เข้าไปพูดคุยกับผู้พัฒนาเครือข่ายหลายๆ รายที่เป็นพันธมิตร เพื่อสอบถามถึงการลงทุน 5G ส่วนใหญ่จะให้คำตอบว่านับจากนี้ไปอีก 3 ปี ค่อยมาคิดว่าควรจะทำหรือไม่ทำ
เพราะปัจจุบัน 5G ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น”
...สอง กสทช. เองก็ยังทำโรดแมปในการประมูลคลื่น 5G ไม่เสร็จ หลายท่านคงทราบว่า บริการ 5G สามารถใช้คลื่นความถี่ได้หลายย่าน ทั้งความถี่ต่ำ ความถี่ปานกลางและความถี่สูง การประมูลคลื่น 5G จึงควรเกิดขึ้นเมื่อมีโรดแมปในการประมูลคลื่นทุกย่านที่ชัดเจนก่อน การซอยคลื่น 700 MHz ในย่านความถี่ต่ำออกมาประมูลก่อน โดยยังไม่เห็นความชัดเจนในการประมูลคลื่นย่านอื่น จะทำให้เกิดความได้เปรียบและเสียเปรียบกันระหว่างผู้ประกอบการที่ประมูลในครั้งนี้และในอนาคต และจะสร้างปัญหาต่างๆ ตามมามากมาย
...สาม การไม่เร่งรัดประมูลคลื่น 5G ในปีนี้ จะไม่มีผลทำให้ประเทศไทยมีบริการ 5G ช้ากว่าประเทศอื่น เพราะในปัจจุบันมีเพียง 3-4 ประเทศเท่านั้น ที่เปิดให้บริการ 5G ในเชิงพาณิชย์แล้วคือ เกาหลีใต้ จีน ญี่ปุ่น และสหรัฐ (ซึ่งเปิดบริการในไม่กี่เมือง) โดยประเทศเหล่านี้ล้วนเป็นประเทศที่ผลิตอุปกรณ์ 5G ซึ่งต้องการเปิดบริการในประเทศของตนให้เร็ว เพื่อผลในการโฆษณาและทำการตลาดในต่างประเทศ
...รัฐบาลจึงไม่ต้องกังวลใดๆ ต่อการที่ผู้ประกอบการขู่ว่า จะไม่เข้าประมูลคลื่น 5G หากไม่ได้รับการยืดเวลาชำระค่าประมูลคลื่น 4G ออกไป เพราะประเทศไทยยังไม่ควรประมูลคลื่น 5G ไปอีกอย่างน้อย 2-3 ปี จนกว่าจะเห็นว่า บริการ 5G มีประโยชน์ในเชิงพาณิชย์อย่างไร เมื่อถึงเวลานั้น ผู้ประกอบการทั้งหลายซึ่งชำระค่าประมูลคลื่น 4G ครบถ้วนแล้ว ก็จะเข้าประมูล 5G เอง เพื่อไม่ให้เสียเปรียบรายอื่น
...“นิทาน” เรื่องนี้นอกจากไม่สนุกแล้ว ยังมีราคาแพงมาก เพราะหากรัฐบาลและ คสช. หลงเชื่อแล้วยืดเวลาชำระค่าประมูลคลื่น 4G ออกไป ตามข้อเสนอของ กสทช. รัฐก็จะเสียรายได้อย่างน้อย
1.6 หมื่นล้านบาท จากอัตราดอกเบี้ยที่ กสทช. เสนอให้เก็บต่ำมาก(คิดเฉพาะ 2 รายคือ AIS และ True ที่ขอยืดชำระไป 7 ปี ยังไม่นับที่ DTAC ที่ขอผสมโรงยืดชำระไปอีก 15 ปี) การยืดเวลาชำระค่าประมูลคลื่น 4G ออกไป จึงขัดอย่างแจ้งชัดกับแนวทางที่นายกรัฐมนตรีเคยให้ไว้เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2561 ว่า การดำเนินการในเรื่องนี้จะต้องไม่ทำให้รัฐและประชาชนเสียหาย
...ผมหวังว่า ผู้นำรัฐบาลซึ่งเป็น “บูรพาพยัคฆ์” ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก จะไม่หลงเชื่อ “นิทานกระต่ายตื่นตูม” เรื่องใหม่ แต่พลอตเดิม ที่หวังจะเอาเงินของรัฐและประชาชนไป “อุ้ม” นายทุนโทรคมนาคม ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง”
ดร.สมเกียรติยังโพสต์ซ้ำอีก เมื่อวันที่ 11 เม.ย.ที่ผ่านมาเรื่อง “ยืดหนี้มือถือ = ยกผลประโยชน์หมื่นล้านให้นายทุน” ความว่า...
...วันสองวันนี้มีข่าวลือว่า จะมีการออกคำสั่ง คสช. ตามมาตรา 44 เพื่อยืดหนี้ให้กับบริษัทโทรศัพท์มือถือ 3 รายคือ เอไอเอส ทรู และดีแทค ในเร็วๆ นี้ ซึ่งทำให้หุ้นของบริษัททั้งสามเด้งสูงขึ้นมาทันที
...การที่หุ้นเด้งสูงขึ้นรับข่าวลือดังกล่าวชี้ชัดเจนอย่างไม่มีข้อสงสัยว่า ผู้ถือหุ้นของบริษัททั้งสามจะได้ประโยชน์หากมีมาตรการยืดหนี้ออกมาจริง ซึ่งตรงกันข้ามกับความพยายามก่อนหน้านี้ของคนในภาครัฐที่บอกว่า มาตรการนี้ไม่ได้เอื้อผลประโยชน์ให้นายทุน
...นักวิเคราะห์หลักทรัพย์บางรายบอกว่า ทรูจะได้ประโยชน์มากที่สุด ในขณะที่ดีแทคจะได้ผลประโยชน์น้อยที่สุด เพราะหนี้งวดสุดท้ายที่จะถูกยืดออกไปมีมูลค่าน้อยที่สุด
...การคำนวณของผมพบว่า ที่จริงแล้ว ทั้งสามบริษัทจะได้ผลประโยชน์ใกล้เคียงกัน แม้ว่าหนี้ก้อนสุดท้ายที่จะยืดออกไปจะใหญ่ไม่เท่ากัน แต่การปรับระยะเวลาในการยืดหนี้ที่แตกต่างกันก็ทำให้สุดท้ายได้ตัวเลขเท่าๆ กันคือ แต่ละรายได้ผลประโยชน์ไปประมาณ 8 พันล้านบาท ใกล้เคียงกันอย่างน่ามหัศจรรย์ เสมือนมีการหารือกันมาก่อนเพื่อไม่ให้ได้เปรียบเสียเปรียบกัน
...แม้ผู้ประกอบการทั้ง 3 รายอาจไม่ได้เปรียบเสียเปรียบกันและต่างก็ได้หมด ผู้ที่จะเสียเปรียบจากมาตรการดังกล่าวคือ ประชาชนผู้เสียภาษี เพราะการที่รัฐยืดหนี้ให้ทั้งสามรายคือ การยกผลประโยชน์ของประชาชน 2.4 หมื่นล้านบาท ให้กับนายทุนโทรคมนาคม
...ข้ออ้างเรื่องการยืดหนี้อุ้มผู้ประกอบการทั้ง 3 ราย เพื่อแลกเปลี่ยนกับการเข้าประมูลคลื่น 5G ก็เป็นเรื่องที่ฟังไม่ขึ้น ด้วยหลายเหตุผลคือ หนึ่ง ประเทศไทยยังไม่มีความพร้อมและความจำเป็นต้องประมูลคลื่น 5G ในปีนี้ สอง ผู้ประกอบการทั้ง 3 ราย ไม่มีใครสัญญาว่าจะเข้าประมูล 5G เลย โดยต่างพูดตรงว่า ต้องดูเงื่อนไขการประมูลและราคาเริ่มต้นก่อน
...ข้ออ้างในการยืดหนี้เพื่อให้เอกชนเข้าประมูล 5G จึงไม่ใช่ “หมูไปไก่มา” แต่ “เสียหมูไปฝ่ายเดียว” เสมือนเป็น “ค่า (แกล้ง) โง่”
...หากมีการใช้มาตรการดังกล่าวจริง ก็ต้องถือว่า รัฐบาลประยุทธ์ขาดความรับผิดชอบอย่างยิ่ง ทั้งในทางกฎหมายและในทางการเมือง ในทางกฎหมาย การใช้คำสั่งตามมาตรา 44 จะทำให้คสช. และรัฐบาลพ้นความรับผิดทางกฎหมาย ประชาชนไม่สามารถไปฟ้องร้องต่อศาลได้ ส่วนในทางการเมือง การดำเนินการในช่วงหลังเลือกตั้งทำให้ไม่ถูกคู่แข่งโจมตีในการเลือกตั้งว่าเอื้อประโยชน์ให้นายทุน และการดำเนินการในช่วงก่อนสงกรานต์ ก็ถือเป็นการใช้จังหวะที่ประชาชนติดตามข่าวสารกันน้อยเพราะเป็นวันหยุดยาว
...หากรัฐบาลและ คสช. ซึ่งมาจากการยึดอำนาจและกล่าวหารัฐบาลก่อนหน้านี้ว่าทุจริตคอร์รัปชั่น ต้องออกคำสั่งใช้มาตรการพิเศษ เพื่อทำเรื่องที่ไม่จำเป็น สร้างความเสียหายต่อประชาชน และทำลายความน่าเชื่อถือในการทำสัญญากับภาครัฐ เพียงเพื่อเอื้อนายทุน เราคงอดคิดไม่ได้ว่า แม้คสช. จะประกาศตัวเป็นรัฏฐาธิปัตย์ แต่รัฏฐาธิปัตย์แท้จริงที่เหนือกว่า คสช. ก็คือกลุ่มทุนบางกลุ่มนั่นเอง”
13 เม.ย.2562 นายไพศาล พืชมงคล โพสต์เฟซบุ๊ค ความว่า...
“...ได้ยินข่าวมาว่า อัยการท่านหนึ่งที่เป็นหนึ่งในคณะพิจารณายืดเวลาชำระหนี้เอกชน 3 ราย และเรื่องทีวี. ได้คัดค้านว่า รัฐเสียหายและผิดกฎหมายจึงไม่เห็นด้วย พร้อมกับทำความเห็นแย้งติดเรื่องนี้ไว้แล้วเพื่อจะไม่ต้องรับผิดและลาออก
...มีใครรายงานเรื่องนี้ให้ผู้ใหญ่ทราบบ้างไหม?
...ท่านผู้เกี่ยวข้องควรตรวจสอบให้ถี่ถ้วนเพราะสามารถทบทวนได้ทัน
...สมัยรัฐบาลไทยรักไทยผมทักท้วงแบบนี้หลายเรื่อง แทนที่จะแก้ไขกลับมาเคืองผม แล้วสุดท้ายเป็นอย่างไร!
...พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ตราบใดที่ยังมีผู้เตือน ตราบนั้น ยังเป็นผู้มีลาภอันประเสริฐ”
เรื่องนี้ หัวหน้า คสช. คงไม่ถอยแล้วล่ะ เพราะใช้ ม.44 (แทนที่จะใช้อำนาจปกติของ กสทช.) ประกาศเปรี้ยงออกมาแล้ว ผู้คนไม่พอใจเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ
ในแง่ทีวี สุภาพสตรีท่านหนึ่งในพรรคพลังประชารัฐ ที่เกี่ยวข้องกับสื่อค่ายใหญ่ ซึ่งตอนเลือกตั้ง ส่งเสียงเชียร์พลังประชารัฐอย่างเอิกเกริก พร้อมๆ กับโจมตีความน่าเชื่อถือของพรรคอื่น
มี “ช่องดิจิตอล” ขาดทุน แบกหลังอานอยู่ช่องหนึ่ง ดูซิ ช่องที่ว่าจะถูกคืนให้ กสทช. ไม่ทำต่อหรือไม่
ส่วนค่ายมือถือ ก็อย่างที่ “ผู้รู้” ท่านเขียนไว้ และผมนำมาอ้างอิงแล้ว
ที่เหลือก็ได้แต่รอ “เวลา”
เพราะผมยังเชื่อเรื่อง ระยะทางพิสูจน์ม้า วันเวลาพิสูจน์คน อยู่ครับ!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี