บทความนี้ เมื่อปรากฏแก่สายตาของสาธารณชน ผลการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ก็คงเป็นที่ทราบกันอย่างแพร่หลาย
จึงป่วยการเปล่าที่จะคาดคะเนว่าผู้ใดจะได้คะแนนมากที่สุด แต่ที่น่าจะเป็นประโยชน์แก่สาธารณะ ก็คือข้อคิดบางประการที่จะส่งเสริมบทบาทขององค์กรนี้ สถาบันนี้ ได้มีบทบาทที่สำคัญยิ่งๆ ขึ้นไปในสังคมการเมืองของประเทศไทย
ดังที่นักวิพากษ์วิจารณ์ คอลัมนิสต์ ในสื่อมวลชนของไทยได้มีความห่วงใยต่อผลลบหรือผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นภายหลังจากการเลือกตั้ง “หัวหน้า” พรรค ซึ่งในสังคมไทยมักมีปรากฏการณ์เช่นนั้นหลายต่อหลายครั้งภายหลังการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคก็จะเกิดอาการสั่นสะเทือนก่อให้เกิดรอยร้าว “แตกแยก” กันไปคนละทิศละทางเสมอ และผู้มีความปรารถนาดีก็ไม่อยากจะเห็น “สี่ทหารเสือ”ผู้เก่งกล้าสามารถต้องมีอันจะต้องแยกทางกันเดิน ฉะนั้นจะมีสายใยอันใดที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่จะผูกโยงมิตรภาพอันแน่นแฟ้นดังเก่าก่อนให้มั่นคงแข็งแรงสืบต่อไป ประเด็นดังกล่าวนี้ทำให้นึกถึงผู้นำที่ดังก้องโลกแต่เก่าก่อน ได้แก่ อับราฮัม ลินคอล์น ผู้ชนะการเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ค.ศ. 1860 แต่ในการจัดตั้งรัฐบาล ได้เชิญให้คู่แข่งอีก 3 ท่าน เข้าร่วมคณะรัฐมนตรี ได้แก่ ซีวอร์ด (Seward) ซัลมอน พี. เชส (Chase) และเอ็ดเวิร์ด เบทส์ (Bates) ทั้งสองท่านแรก ดั้งเดิมมาจากพรรควิกส์ (Whigs) เช่นเดียวกับลินคอล์น แต่ต่อมาต่างก็จัดตั้งพรรครีพับลิกัน (Republican) ในมลรัฐของตน ขณะที่เอ็ดเวิร์ด เบทส์ ดั้งเดิมมาจากพรรคเดโมแครต และมาร่วมกับพรรครีพับลิกันภายหลัง
โดยสรุป รัฐบาลที่ประธานาธิบดีลินคอล์น จัดตั้งเป็นรัฐบาลในนามพรรครีพับลิกัน แต่ประกอบด้วยผู้นำในปีกต่างๆ ของพรรควิกส์ และเดโมแครตดั้งเดิม และเป็นที่เรียกขานกันว่า “Compound Cabinet” หรือรัฐบาลผสม(หลากสี) และรัฐมนตรีซีวอร์ดได้เตือนลินคอล์นแล้วว่าไม่ควรจัดตั้งแบบนี้ จะมีปัญหาเรื่อง “เอกภาพ”
แต่ประธานาธิบดีลินคอล์น มีความคิดเป็นของตนเองที่ต้องการคณะรัฐมนตรีรูปผสม ด้วยเหตุผลต่างๆ นานา
สำหรับทีมงานใหม่ของพรรคประชาธิปัตย์ ภายใต้หัวหน้าพรรคคนใหม่ ก็คงปรารถนาจะเห็นความเข้มแข็งของพรรค เพราะถ้าขาดความเข้มแข็งเสียแล้ว จะชนะเลือกตั้งในคราวหน้าหรือไม่อาจจะยังคงไม่ต้องพูดถึง จะกลายเป็นพรรคขนาดเล็กอาจจะเป็นได้ เดิมพันจึงสูง
พิจารณาจากบุคลิกนิสัยของแต่ละท่านที่ลงแข่งแล้ว น่าจะเชื่อได้ว่าเป็นบุคคลที่ไม่ยึด “อัตตา” จนเกินงาม น่าจะมีความอ่อนน้อมถ่อมตนเสียมากกว่า ฉะนั้น น่าจะยึดถือสุภาษิตของท่านลินคอล์น อีกเช่นเคยว่า “The house which is divided against itself cannot stand” - บ้านเมืองที่แตกแยกกันภายใน ไม่สามารถดำรงอยู่ได้
หากผู้ชนะยึดถือสุภาษิตนี้ เชื่อว่าจะนำพารัฐนาวาไปถึงฝั่งฝันได้อย่างปลอดภัยและสง่างาม และจะทำการปฏิรูปได้สำเร็จ
ส่วนสาระและเป้าหมายของการปฏิรูป ควรจะประกอบด้วยอะไร น่าจะได้มีการศึกษากันไว้บ้างแล้วจากอดีต ข้อสำคัญคือจะต้องปรับเปลี่ยนคุณลักษณะของพรรคที่ภาษาวิชาการจะเรียกว่า พรรคแคดดรี่ (Cadre) - พรรคที่ประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นหลัก (ประชาธิปัตย์ จัดตั้งใน พ.ศ. 2490 ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประกอบด้วย สส. ในสภาผู้แทนราษฎร เป็นหลัก) ปัจจุบันแม้ว่าจะมีการจัดตั้งสาขามากมาย มีสมาชิกเป็นล้าน แต่ในการเลือกหัวหน้าพรรค จะเห็นได้ว่าคะแนนเสียงจากกลุ่ม สส. มีน้ำหนักถึง 70%
ฉะนั้น “หาก” ต้องการจะให้มีองค์ประกอบของ “มวลชน” หรือภาคประชาสังคม-รวมนักธุรกิจ-เกษตรกร-แรงงาน ก็ควรจะต้องให้น้ำหนักในกระบวนการตัดสินใจแก่องค์กรระดับล่าง ได้แก่ สาขาพรรค ที่จะคัดเลือกผู้สมัครทั้งในระดับสภาผู้แทนราษฎร และสภาตำบล เทศบาล จะต้องให้บทบาทหน้าที่แก่องค์กรระดับรากหญ้ามากยิ่งขึ้น และใช้หลัก “การหมุนเวียน” ในตำแหน่ง “บริหาร” และอื่นๆ ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
ประเด็นสำคัญที่พรรคอาจจะไม่ลืม แต่อาจจะใส่ใจน้อยไป คือ การจัดการศึกษาทางสังคมให้แก่ประชาชนทุกๆ กลุ่มอายุ ในการสร้างประชาธิปไตยในประเทศเยอรมนีภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลทุกรัฐบาลกำหนดไว้เป็นนโยบายให้พรรคการเมือง “มีบทบาททางอ้อม” ในการให้การศึกษาทางสังคม (และการเมือง) แก่มวลชน จึงเกิดมูลนิธิคอนราด อาเดนาวร์ และมูลนิธิฟรีดิช สติฟตุง ส่วนสังคมไทยไม่เคยมีกลุ่มการเมืองไหนหยิบประเด็นการพัฒนาสังคมให้เกิดวัฒนธรรมทางการเมืองที่ส่งเสริมระบอบ/วิถีชีวิตแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข หากมีการโต้แย้งในประเด็นเหล่านี้ นักวิชาการหรือกลุ่มนักการเมืองไหนบ้างที่จะโต้ตอบ แต่ที่สำคัญ เพื่อการปลูกฝังระบบการเมืองแบบรัฐสภาและสังคมประชาธิปไตย การศึกษาทั้งในระบบโรงเรียน และนอกระบบโรงเรียน ก็จะต้องมีกลวิธีจัดการศึกษาให้เยาวชนได้เรียนรู้วัฒนธรรมการเมืองตามวิถีชีวิตแบบนี้ ทั้งวิธีการโต้แย้งที่มีเหตุผล ความซื่อตรงต่อข้อเท็จจริง ความโปร่งใสในการประพฤติปฏิบัติ ตลอดจนในการเดินสายกลาง ความไม่มักมากในอำนาจวาสนา ความมีน้ำใจที่จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้าสู่อำนาจ ไม่ใช่ตระกูลหนึ่งตระกูลใดก็ยึดครองอำนาจตลอดไป นำไปสู่สภาวะหยุดนิ่งของสังคมการเมือง
และหากจะตื่นเต้นกับเครื่องมือสื่อสารทางคอมพิวเตอร์ ด้วยการใช้ระบบ Facebook และ on-line ประเด็นหลักคือ ตัวมนุษย์ที่กดปุ่มเหล่านี้ ทั้งระบบ AI และการผลิต AI จะมีอะไรที่วิเศษไปยิ่งกว่ามนุษย์
ประการสุดท้าย ขอฝากไว้ให้คิด ทบทวน ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่แล้ว ซึ่งควรพิจารณาแยกแยะให้รอบคอบ ทั้งพลังอนุรักษ์นิยมในเขตชนบท
ที่ระบบอุปถัมภ์ยังเข้มข้นในบางภูมิภาค (อีสาน) และพลังตามกระแสโลกใหม่ที่พลิกผันให้พรรคอนาคตใหม่ได้กลายเป็นปรากฏการณ์ที่สร้างความตะลึงงันในแวดวงการเมือง และขณะเดียวกัน ในเขตของ กทม. ที่กล่าวกันมาหลายยุคหลายสมัยแล้วว่า กระแสสำคัญกวกระสุน ประชาธิปัตย์อยู่ได้ด้วยกระแสใน กทม. ลองกลับไปวิเคราะห์การเลือกตั้ง พ.ศ. 2535 และ 2539 ตลอดจนการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ครั้งที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ชนะครั้งนั้น ส่วนภาคใต้ ท่านมีผู้เชี่ยวชาญ เกินสติปัญญาของผู้เขียนจะเพิ่มเติม
โดยสรุป ขอให้คณะผู้บริหารชุดใหม่ ได้สามัคคีกลมเกลียว-ยึดมั่นในคติธรรมดั้งเดิมของความเป็นประชาธิปไตยที่บริสุทธิ์ เชิดชูและปกป้องสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และความเจริญรุ่งเรืองของสังคมไทยทั้งปวง
ดร.วิชัย ตันศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี