หลายปีที่ผ่านมา แม้จะมีกระแสเรียกร้องให้ปฏิรูปตำรวจมาโดยตลอด แต่บรรดานักการเมืองที่สลับกันไปมาเป็นฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน ไม่ว่าจะฝ่ายใดพรรคใด ก็มักจะไม่กล้าแตะต้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถมในที่สุดเมื่อได้ครองอำนาจ ก็มักจะไปร่วมกันหาประโยชน์ รวมทั้งใช้งานตำรวจเป็นเครื่องมือทางการเมืองอีกด้วย
จนเมื่อฝ่ายกองทัพฝักใฝ่การเมืองทำการปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจรัฐ ชาวไทยก็เริ่มมีความหวังในเรื่องการปฏิรูปตำรวจอีกหน แต่จนแล้วจนรอด รัฐบาลทหารก็ทำเป็นลืมคำมั่นสัญญากับประชาชนในเรื่องนี้ โดยยึดถือเอาว่า ตำรวจนั้นเป็นพวกเดียวกันกับตน เหมารวมกิจการตำรวจเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพไทย ตามที่ร่วมโรงเรียนเตรียมทหารด้วยกันมา
นอกจากนั้น หากฝ่ายกองทัพทหารจะลงมือปฏิรูปยกเครื่องฝ่ายตำรวจกันจริงๆ ก็จะเป็นโอกาสให้ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์ได้ว่า แล้วเหตุใดจึงไม่มีการยกเครื่องปฏิรูปทหารไปด้วย เพราะที่ผ่านมา ทางกองทัพก็มีเรื่องราวคาใจประชาชนเกี่ยวกับการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ที่ใช้งานไม่ได้ หรือมีราคาแพงค้างอยู่หลายกรณี และก็ไม่มีคำอธิบายที่น่าพอใจต่อสังคม
ตำรวจในยุคปฏิรูปประเทศนี้ ก็เลยได้ร่วมคุมอำนาจรัฐปกครองประเทศไปโดยปริยาย
อย่างไรก็ดี ได้มีการเล่นปาหี่ เล่นละครหลอกคนดู ด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจขึ้นมา ซึ่งคณะกรรมการ
ก็ล้วนแต่เป็นตำรวจ ด้วยกันเองทั้งนั้น ก็เลยเป็นการปฏิรูปแบบไม่ได้ปฏิรูป ดูทำกันแบบขอไปที หาความเอาจริงเอาจังมิได้
ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะด้วยความเกรงใจกันเองในหมู่ตำรวจ หรือว่าเป็นคำสั่งจากรัฐบาลกองทัพว่าจะเอาแบบนี้
ดังนั้น ภาระการปฏิรูปตำรวจ ก็คงไม่พ้นที่จะต้องกลับมาตกอยู่กับประชาชนเป็นสำคัญ ซึ่งนอกจากจะต้องทำการเรียกร้องกันต่อไปแล้ว ยังจะต้องลงมือทำเอง ดังเช่น ประเทศต่างๆ ทั้งใกล้ และไกล ที่สามารถแก้ปัญหาตำรวจได้สำเร็จไปแล้วหรือที่กำลังมุ่งแก้กันอย่างจริงจัง อันเนื่องมาจากการเรียกร้องของประชาชน จนฝ่ายการเมืองรับฟัง และรับไปดำเนินการ ซึ่งของไทยแม้ตามรูปการณ์ของคณะรัฐบาลชุดใหม่แล้ว อาจดูจะยากที่จะได้เห็นการดำเนินการปฏิรูปตำรวจแบบประเทศเพื่อนบ้าน หรือประเทศอื่นๆ แต่เราชาวไทยก็ต้องไม่ท้อแท้ ไม่ถดถอย เริ่มต้นก็คงต้องพึ่งตนเองเป็นหลัก เพื่อให้ชาวไทยได้มาร่วมกันทำแผนแม่บทปฏิรูปตำรวจกันอย่างถึงแก่นถึงสาร แล้วนำไปยื่นให้กับภาคการเมืองไทยได้นำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง
โดยขณะนี้ สังคมไทยก็มีองค์กรภาคประชาชนที่ว่าด้วย จับตาตำรวจ (Police Watch) ก็น่าจะยกระดับตนเองมาเป็นแกนกลาง เพื่อสร้างแนวร่วม สร้างบุคลากร และขยับขยายงานทำแผนแม่บทเพื่อปฏิรูปตำรวจได้ และเชื้อเชิญบรรดาพรรคการเมือง(ที่ดี) ให้มาร่วมแรงร่วมใจ นอกจากนั้น ก็ควรมีนักวิชาการเข้ามาร่วม มาช่วยให้ข้อคิด ข้อมูลกันอีกฝ่ายหนึ่ง
เรื่องปัญหาโครงสร้างบริหารงานตำรวจที่หลายประเทศกำลังแก้ไข และบางชาติแก้ไขสำเร็จไปแล้ว มักจะเริ่มด้วยหลักคิด
ที่ว่า งานการในกระทรวงยุติธรรมนั้น จะต้องอยู่บนพื้นฐานการตรวจสอบและถ่วงดุล (Check and Balance) โดยการสืบสวนสอบสวนนั้น ตำรวจไม่สามารถมีอำนาจเบ็ดเสร็จได้แต่ฝ่ายเดียว หากแต่จะต้องเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างตำรวจและอัยการในการดำเนินการ และจะต้องอนุญาตให้ศาลสามารถไต่สวน หาข้อมูล หรือขอข้อมูลเพิ่มเติมเองได้ มิใช่เป็นเพียงผู้รับข้อมูลที่ฝ่ายตำรวจสรุปมาให้แต่อย่างเดียวมาพิจารณา
ในบางประเทศได้ให้ฝ่ายอัยการเป็นผู้ควบคุมการดำเนินการของตำรวจไปเลย ในขณะที่บางประเทศ เช่น มาเลเซีย ได้มีการจัดตั้งคณะมนตรีภาคประชาชน เพื่อรับคำร้องเรียน และตรวจสอบพฤติกรรมตำรวจ โดยประธานคณะมนตรี มักจะเป็นอดีตผู้พิพากษา เป็นต้น
นอกจากนั้น หลายๆ ประเทศยังมีการกระจายอำนาจ โดยโอนงานตำรวจส่วนภูมิภาคให้ไปขึ้นกับผู้ว่าราชการจังหวัดที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง ในขณะที่กิจการตำรวจส่วนกลาง จะมุ่งเน้นไปที่ การหาข่าว ส่งข้อมูล และปราบปราม เป็นหลัก โดยตำรวจส่วนกลาง จะช่วยจัดส่ง นายตำรวจประสานงาน เพื่อไปประจำตามศาลาว่าการจังหวัด มีหน้าที่ในลักษณะเป็น ผู้ช่วยฯ ผู้ว่าราชการจังหวัด ฝ่ายความมั่นคงปลอดภัย ในจังหวัดนั้นๆ ทำหน้าที่ประสานงานการข่าวจากส่วนกลาง กับตำรวจภูมิภาค
บางประเทศยังแยกกิจการตำรวจตระเวนชายแดน ให้ไปสังกัดกระทรวงกิจการชายแดน ที่มีฝ่ายตรวจคนเข้าเมือง และศุลกากร ทำหน้าที่อยู่แล้ว นอกจากนั้นก็ยังมีแบบที่ย้ายไปขึ้นกับกระทรวงกิจการภายในอีกด้วย โดยประเทศเหล่านี้ มักจะไม่มีกระทรวงมหาดไทย หรือกระทรวงปกครอง เพราะเขาเน้นการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ซึ่งอยู่บนหลักคิดที่ว่า การปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นเรื่องของท้องถิ่น และควรจะมาจากการเลือกตั้งของชุมชนนั้นๆ
และเพื่อให้เกิดการแยกระหว่างกองทัพ กับกิจการตำรวจออกจากกันอย่างชัดเจน ในหลายๆ ประเทศ จึงได้ทำการยกเลิกสถาบันตำรวจ ที่มีลักษณะเป็นโรงเรียนนายทหาร หรือกึ่งทหาร (Para-Military) แล้ว โดยหันไปใช้กระบวนการเดียวกับประเทศที่ไม่เคยมีโรงเรียนตำรวจลักษณะเดียวกับโรงเรียนนายทหาร ที่จะจัดให้มีสถาบันเฉพาะทางที่เกี่ยวกับงานตำรวจต่างๆ เพื่อให้บุคคลที่จบปริญญาตรีมาแล้ว และมีความสนใจจะเป็นตำรวจ ได้เข้าไปเรียน ไปฝึก เพื่อเป็นตำรวจ
หากมองไปรอบๆ ตัวเราแล้ว จะพบว่าตัวอย่างในการปฏิรูปตำรวจนั้นมีอีกมากมาย
ขั้นต้นของการปฏิรูปตำรวจในประเทศไทย น่าจะเริ่มจากแยกตำรวจ ออกจากการเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพ และพัฒนาให้ตำรวจทำงานร่วมกันกับอัยการ และจัดให้มีฝ่ายมั่นคงภายใน และฝ่ายสอบสวน ร้องเรียน เพื่อที่ประชาชนจะได้สามารถตรวจสอบการดำเนินการของตำรวจได้ โดยหน่วยงานเหล่านี้ จะต้องได้รับการปฏิบัติที่ทัดเทียมกับฝ่ายปราบปรามและฝ่ายอื่นๆ ของตำรวจด้วยกันเอง
และเมื่อตั้งต้นทิศทางการปฏิรูปตำรวจไทยได้ ก็จะต้องไม่ลืมปัญหาสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง นั่นคือเงินเดือนที่ไม่เหมาะสมต่องาน โดยเฉพาะตำรวจชั้นผู้น้อยนั้นทำงานหนัก และเสี่ยงต่ออันตราย รวมทั้งสุขภาพ แต่รายได้จากทางรัฐกลับไม่เพียงพอ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการซื้อเครื่องแบบ และอาวุธปืน นั้น ถือเป็นภาระอย่างสูงต่อการเริ่มต้นอาชีพตำรวจ ทำให้ตำรวจเหล่านี้เป็นหนี้เป็นสินตั้งแต่เริ่มชีวิตทำงาน จึงมีชีวิตที่ไม่มั่นคง สุ่มเสี่ยงต่อการถูกชักจูงให้ประพฤติมิชอบได้ง่าย ในขณะที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ มีรายได้สูง รวมทั้งค่าเบี้ยหวัดอื่นๆ จนสามารถซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยต่างๆ มาใช้ได้อย่างสบาย ดังที่ได้เห็นกันอยู่ในสังคมไทย ถือเป็นเรื่องที่ทำลายขวัญและกำลังใจตำรวจชั้นผู้น้อยไทยมาช้านาน
เราคนไทย จึงควรรวมตัวกันเป็นคณะเพื่อนตำรวจ โดยเริ่มจากประเด็นการดูแลทุกข์สุขให้ตำรวจชั้นผู้น้อยเหล่านี้ ซึ่งจะต้องช่วยกันผลักดันให้เกิด ระบบที่รายรับขั้นต่ำตำรวจ ต้องไม่ห่างจากรายรับตำรวจชั้นผู้ใหญ่มากนัก กล่าวคือเงินเดือน
พลตำรวจ ต้องไม่ห่างจากเงินเดือนของนายพลตำรวจจนเกินไป โดยเฉพาะตำรวจชั้นผู้น้อยที่ทำงานเสี่ยงอันตราย ทำงานหนัก ยิ่งต้องได้รับค่าตอบแทนสูง บวกกับชั้นยศของเขา ก็ควรได้เติบโตไปตามเวลารับราชการ และความสามารถอย่างเหมาะสม ไม่ใช่กั๊กๆ เอาไว้ แล้วรอมาให้ยศ ให้ตำแหน่งเป็นนายร้อยกันตอนใกล้เกษียณ โดยอ้างว่าเพื่อเป็นเกียรติ แล้วจะได้บำนาญสูงขึ้น แต่ในขณะที่ระหว่างที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่เพื่อประเทศชาติ เพื่อประชาชน กลับต้องกระเบียดกระเสียน อดๆ อยากๆ
เอาเข้าจริงแล้ว ตำรวจกับประชาชนนั้นก็เหมือนญาติกัน แต่ที่ผ่านๆ มา กิจการตำรวจนั้นถูกบริหารงานกันไปแบบมุ่งเน้นการปกครอง มากกว่าการจะมุ่งพิทักษ์บริการประชาชน นั่นก็เลยทำให้เกิดความห่างเหินระหว่างประชาชนกับตำรวจ บ้างก็ถึงขั้นเกลียดกลัวตำรวจกันไปก็มี
จะให้ประชาชนรู้สึกอุ่นใจกับตำรวจ ประชาชนก็คงต้องปฏิรูปตำรวจด้วยมือประชาชนเอง บนพื้นฐานความคิดแห่งการกระจายอำนาจ ร่วมไปกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของตำรวจโดยรวมให้ดีขึ้น
และที่สำคัญก็คือ ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ต้องไม่มัวคิดแต่เรื่องหวงอำนาจ ไม่มัวคิดแต่เรื่องห่วงผลประโยชน์ของตนมากกว่าตำรวจชั้นผู้น้อย มิเช่นนั้นแล้ว การปฏิรูปตำรวจไทย คงจะเดินหน้าไปได้ช้า และช่องว่างระหว่างตำรวจกับประชาชนไทย คงถูกถ่างกว้างออกไปอีกเรื่อยๆ
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี