ประเทศไทยเรามีทรัพยากรธรรมชาติเพื่อเป็นพลังงานเชื้อเพลิง สำหรับยานยนต์ เครื่องจักร เครื่องยนต์ รวมทั้งการนำไปผลิตไฟฟ้าเพื่อโรงงาน และครัวเรือน (ได้แก่ น้ำมัน ก๊าซ ถ่านหิน และน้ำ) อย่างจำกัด หรือเรียกได้ว่าไม่เพียงพอที่จะพึ่งพาตนเองได้ ฉะนั้นจึงต้องนำเข้าจากต่างประเทศเป็นมูลค่าปีละประมาณ 1 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะน้ำมัน และก๊าซ จากตะวันออกกลาง ก๊าซจากเมียนมา ถ่านหินจากอินโดนีเซียและออสเตรเลีย ไฟฟ้าจากลาว เป็นต้น ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายจำนวนไม่น้อย และถือเป็นภาระของคนไทยทุกคน
อย่างไรก็ดี ในวันนี้ประชาคมโลกต่างเห็นตรงกันว่า น้ำมัน ก๊าซ และถ่านหินนั้น เป็นเชื้อเพลิงที่สร้างมลภาวะ ทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลกระทบต่อความสมดุล ภูมิอากาศ และธรรมชาติสิ่งแวดล้อม หิมะและน้ำแข็งละลาย ทิศทางลม และคลื่นน้ำผันแปร ฤดูกาลไม่ปกติ เริ่มไม่สม่ำเสมอ ไฟไหม้ป่าขนาดใหญ่เกิดมากขึ้น ถึงกับขนานนามพลังงานเหล่านี้ ว่าเป็นพลังงานสกปรก โลกจึงหันมาตกลงกันในประเด็นที่จะลดปริมาณการใช้น้ำมัน ก๊าซ และถ่านหินลง เพื่อที่จะชะลอปัญหาโลกร้อน
ฉะนั้น ประเทศไทยเราจึงมีภารกิจที่จะต้องลดการใช้พลังงานสกปรกทั้ง 3 ชนิดนี้ และจะต้องเร่งหาพลังงานทดแทนและหมุนเวียน จัดได้ว่าเป็นวาระแห่งชาติ ก็จะเป็นการลดการพึ่งพาต่างประเทศและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง
คำถามก็คือ แล้วไทยเราจะทำได้จริงหรือไม่?
ก็ขอตอบว่า เราไม่มีทางหลีกเลี่ยงและอยู่ในวิสัยที่จะกระทำได้
ที่บอกว่าเราน่าจะทำได้นั้น ก็ด้วยเหตุที่ว่า ตามภูมิศาสตร์ของประเทศไทยเรานั้น เป็นข้อได้เปรียบทางทรัพยากรธรรมชาติชนิดหนึ่ง ที่มีอยู่อย่างมากมาย และใช้ได้อย่างไม่จำกัด นั่นคือพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในพลังงานสะอาด (สร้างมลภาวะน้อย) ซึ่งมีการวิจัย ค้นคว้า และพัฒนามาโดยตลอด
นอกจากนั้นแล้ว ประเทศไทยยังมีความเป็นเลิศในเรื่องการเกษตร และมีความหลากหลายของหมู่ไม้ทางธรรมชาติ ที่สามารถแปรรูปออกมาเป็นเชื้อเพลิงได้ โดยเฉพาะมันสำปะหลัง อ้อย และปาล์ม และที่ผ่านมาก็ได้มีการพัฒนามาในระดับหนึ่งแล้ว ก็ต้องการการสนับสนุนด้านการค้นคว้า และวิจัยเพิ่มเติม
บวกกับการที่เรายังมี เศษไม้ เศษขยะ มูลสัตว์ ที่มีผลการวิจัยรับรองแล้วว่า คุ้มค่าที่จะแปลงไปเป็นพลังงานได้อย่างคุ้มค่า ไทยเราก็จะสามารถมุ่งให้พลังงานหมุนเวียนและทดแทนมีสัดส่วนเป็นเชื้อเพลิงได้มากขึ้น และเป็นหลักในที่สุด
คงเป็นเวลาอีกสิบๆ ปีที่เรายังต้องใช้น้ำมัน ก๊าซ และถ่านหิน คู่ขนานกับพลังงานทดแทนและหมุนเวียน ฉะนั้น นโยบายเชื้อเพลิงของไทยก็จะต้องเป็นแบบผสมผสาน (Mixed Energy) โดยมีแผนการลดการใช้แหล่งนำเข้าน้ำมัน ก๊าซ ถ่านหิน ควบคู่กับแผนการเพิ่มพลังงานทดแทนและหมุนเวียน โดยเอาตัวเลขมูลค่าประมาณ 1 ล้านล้านบาท เป็นตัวตั้ง ในการลดการนำเข้าและเพิ่มการใช้ของในประเทศ โดยมีการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯนำเข้าถ่านหิน และการปิโตรเลียมแห่งชาตินำเข้าน้ำมันและก๊าซ ประเทศไทยเราก็ควรจะได้มีการจัดตั้งองค์กรเพื่อพลังงานทดแทน และหมุนเวียนขึ้นต่างหาก โดยจะเรียกว่า “การพลังงานทดแทนและหมุนเวียน” ก็พอได้ ทั้งนี้ ก็เพื่อมิให้การดำเนินการทางด้านพลังหมุนเวียนและทดแทน ไม่ต้องตกอยู่ภายใต้การดำเนินงานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต และการปิโตรเลียม เหมือนเป็นงานรอง งานเสริม และเป็นการแยกภารกิจอย่างแน่ชัด
อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงพลังงานทดแทน หรือพลังงานทางเลือกครั้งใด ก็มักมีคำถาม หรือข้อกังขาที่ว่า มันจะคุ้มค่าหรือไม่ ตามมาทุกครั้ง เพราะในอดีตนั้น ราคาต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนต่างๆ มักจะแพงกว่า ต้นทุนพลังงานจากน้ำมัน ก๊าซ และถ่านหิน เป็นปกติ ก็ขอเรียนตรงนี้ว่า
1.ไม่ว่าอย่างไร ประเทศไทยก็จะต้องหาทางที่จะลดค่าใช้จ่ายจำนวนประมาณ 1 ล้านล้านบาท ที่เป็นค่าเชื้อเพลิงนำเข้าจากต่างประเทศ และลดการพึ่งพา เพื่อยืนบนขาของตนเอง
2.เทคโนโลยีพลังงานทดแทนนั้น มีความก้าวหน้าแบบก้าวกระโดด เพราะโลกเห็นความจำเป็น และเร่งด่วนในเรื่องนี้
3.พลังงานหมุนเวียนและทดแทนนั้นเป็นพลังงานสะอาด เมื่อมองในมิติของสิ่งแวดล้อมแล้ว พลังงานหมุนเวียนและทดแทนนั้นถือว่ามีความคุ้มค่า คุ้มทุน อย่างสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับต้นทุนที่จะต้องใช้ในการขจัดมลภาวะจากเชื้อเพลิงสกปรก จะพบว่าพลังงานสะอาดนั้นมีราคาถูกกว่ามาก
4.ในระยะแรกๆ การเปลี่ยนมาใช้พลังงานหมุนเวียนและทดแทน อาจมีต้นทุนที่สูงกว่าพลังงานสกปรกอยู่บ้าง แต่ก็จะเป็นเพียงในระยะสั้น ที่ประชาชนจะต้องแบกรับค่าใช้จ่ายทางพลังงานที่สูงขึ้น โดยรัฐควรจะใช้โอกาสนี้ ในการสร้างวินัยในการประหยัดพลังงานให้กับประชาชนไทย โดยเมื่อพลังงานมีราคาแพง เราก็จะไม่ใช้กันอย่างฟุ้งเฟ้อแบบทุกวันนี้
5.เมื่อในระยะกลาง เทคโนโลยีพลังงานทางเลือกก็จะคุ้มทุนพอๆ กับพลังงานสกปรก ราคาพลังงานก็จะลดลง ในขณะที่สังคมไทยมีวินัยในการประหยัดพลังงาน ก็จะทำให้ภาระการผลิตพลังงานลดลงไปโดยปริยาย ซึ่งส่งผลดีในภาพรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานในครัวเรือน
6.พลังงานทางเลือก จะทำให้การขนส่งมวลชนขยายตัวได้ดีขึ้น ประชาชนก็จะสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายในการซื้อพาหนะส่วนบุคคลลง การจราจรก็จะคล่องตัวมากขึ้น ส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิต ทั้งทางด้านสิ่งแวดล้อม และทางด้านจิตใจ
ด้วยข้อมูลเหล่านี้ ก็หวังว่าเราชาวไทย จะเห็นพ้องต้องกันว่า พลังงานสะอาด พลังงานทางเลือก หรือพลังงานหมุนเวียนนั้น ไม่ใช่ยาขม ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว หากแต่มันเป็นทางออก เป็นกุญแจที่จะช่วยปลดล็อกทั้งปัญหาความมั่นคงทางพลังงานของชาติ และปัญหาสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กัน
ซึ่งเมื่อใดที่ประชาชนเห็นพ้องต้องกัน เราก็มีสิทธิ์ที่จะสั่งฝ่ายการเมืองให้ปฏิบัติในสิ่งที่ถูกที่ควรได้ โดยเฉพาะในเรื่องปัญหาความมั่นคงพลังงาน ที่เป็นดินพอกหางหมูประเทศไทยมายาวนาน
อย่างไรก็ดี ในท้ายนี้ ก็ขออนุญาตใช้พื้นที่เพื่อชมเชยการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ที่กำลังจะเปิดตัวโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ลอยน้ำ (Floating
Solar) โดยจะมีแผงลอยอยู่ในเขื่อนทั้ง 9 เขื่อนของไทย ซึ่งถือเป็นอีกก้าวใหญ่ๆ อีกก้าวหนึ่ง ในการผลักดันการใช้งานพลังงานสะอาดในประเทศไทย
ก็หวังว่า จะเป็นตัวจุดประกายให้หน่วยงานต่างๆ และประชาชนไทย ได้หันมาช่วยกันสนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียนและทดแทนภายในประเทศให้แพร่หลายมากขึ้น
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี