ในยุคที่คนมีสื่ออยู่ในมือ ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม ฯลฯ “ความในใจ” ของคนต่อเรื่องต่างๆ พร้อมที่จะพรูพรั่งออกจากปลายนิ้ว เพื่อประกาศให้รู้ว่าตนคิดอะไรหรือรู้สึกอะไรอยู่
ดังเช่นวานนี้ 100% ของสื่อประเภทนี้ ในกลุ่มที่สนใจ “การเมือง” ล้วนบอกถึงความรู้สึก “เบื่อหน่าย-สะอิดสะเอียน” ภาพการประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่ตนได้เห็น
ใครจะคิดล่ะว่า 5 ปี หลังการเข้าควบคุมอำนาจของ คสช. ตั้งรัฐบาล และยืดเวลาของการเลือกตั้งครั้งแล้วครั้งเล่า จนได้เวลาเลือกจริง จนถึงวันเปิดประชุมสภา ปัญหาตามมาให้เห็นและฟ้องภาพ “ความโกลาหล” ให้ประชาชนพร่ำบ่นเสียดายในการปฏิรูป เลือกตั้ง และเช่าห้องประชุมทีโอที เพื่อให้คนพวกนี้มา “ป่วน” กันเล่น
อย่าคิดนะว่า ปัญหาวุ่นวายทางการเมืองจะจบลงแค่นี้ มองไกลจากวันนี้ไปข้างหน้ากันดีกว่า
1) ผมได้วิเคราะห์ไว้ในรายการ “หน้าหนึ่งที่เมืองไทย” ทางช่องฟ้าวันใหม่ 18.30-20.30 น. หลายครั้งว่า การเลือกที่จะ “รับรอง สส. ” ไปก่อน เพื่อให้เปิดสภาได้ของ กกต. จะก่อให้เกิดปัญหาในภายหลัง นี่เกิดปัญหาแล้ว กรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจที่ กกต. ส่งเรื่องให้ศาลชี้ขาดว่าขาดคุณสมบัติหรือไม่ จากกรณีการถือหุ้น วี-ลัค มีเดีย เปิดช่องให้ธนาธร “มีพื้นที่เล่น” ไล่ประเด็นมาตั้งแต่ ผู้มีอำนาจเลือกใช้ไม้นี้กับผม เห็นชัดว่าเขากำลังจนตรอก หวาดกลัว สิ้นหวัง (ซีนอารมณ์ต้องมี) แล้วเอาเรื่องนี้ไปเทียบกับกรณีของนายดอน ปรมัตถ์วินัย ทันที (ทำไมดอนไม่ผิด ทำไมธนาธรผิด) ยังไม่รวมเรื่องการปล่อยกู้ให้พรรค ที่คนวงนอกนั่งเถียงกันว่า มันเป็น “รายได้” หรือไม่ แล้วจะเอาผิดธนาธร หรือพรรคอนาคตใหม่ ผิดขั้นไหน ขั้นต้อง “ยุบพรรค” เลยหรือเปล่า เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นทั้งคุณและโทษต่อตัวธนาธรทั้งสิ้น ทว่า มีมุมให้ธนาธรกับพวกหยิบขึ้นมา “เล่น” ได้ไม่รู้จบ
2) อย่าลืมว่า ยังมีกรณีการยื่นให้ศาลวินิจฉัยว่าการคำนวณจำนวน สส. ระบบบัญชีรายชื่อ ตามสูตรที่ กกต. คำนวณ จนมีพรรคเล็กๆ ได้ สส. กันไปมากมาย และแห่เข้าหนุนพรรคพลังประชารัฐในบัดดลนั้น ท้ายที่สุด ศาลจะตัดสินอย่างไร ตัดสินว่าถูกแล้ว บางพวกก็จะบอกว่า ศาลไม่ยุติธรรม ตัดสินว่าไม่ถูก ก็กระทบไปถึงเสถียรภาพของการจัดตั้งรัฐบาลไหม ยังไม่รวมอีกว่า การร้องเรียนเรื่องทุจริตการเลือกตั้ง สส. เขตในหลายๆ เขต ยกตัวอย่างเช่น ในเขตของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ที่ประจวบคีรีขันธ์ ที่ยื่นเรื่องไปอย่างเงียบๆ ไม่อยากให้เป็นข่าว หรือที่พัทลุง ซึ่งนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ไปร้องไว้นานแล้ว แต่ไม่มีความคืบหน้า ยังไม่รู้ว่า สส. เขตจะถูกสอยอีกกี่คน หรือจะถูกเพิกเฉย หรือจะตัดสินให้เป็นคุณแก่พรรคพลังประชารัฐ ที่ กกต. ถูกตั้งคำถามมาโดยตลอดว่า ช่วยพรรคพลังประชารัฐอยู่ใช่ไหม หากมีการสอยกันขึ้น จะมีมากน้อยแค่ไหน และกระทบกับฝ่ายใดไหม เพราะสองฝ่ายเสียงก้ำกึ่งกันเหลือเกิน อาจทำให้สถานการณ์ฝ่ายรัฐบาลพลิกได้ หากต้องเลือกตั้งซ่อมใหม่อีกล่ะ ผลจะออกมาอย่างไร และไปกระทบกับ สส. ระบบบัญชีรายชื่อ ให้ต้องเปลี่ยนแปลงใหม่ด้วยหรือไม่ นี่คือความยุ่งยาก วุ่นวาย ที่มาจากกติกาที่สร้างปัญหา และจากการทำงานของ กกต. ที่กลายเป็นองค์กร “ต้องสงสัย” ว่าเดินหมากให้มีการตั้งรัฐบาลให้ได้ก่อน แล้วค่อยมาแก้ปัญหาอื่นเอาทีหลัง
3) ยังมีประเด็น “การถือหุ้น” ในบริษัทที่มีหนังสือบริคณห์สนธิ จดแจ้งเจตนาที่จะผลิตสื่อ ที่มีคนไปยื่นเรื่องร้องเรียนไว้อีก ในท้ายที่สุดเรื่องนี้จะมีบทสรุปอย่างไร และจะมีผลกระทบต่อจำนวน สส. ในสภาหรือไม่ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่อาจส่งผลถึงความวุ่นวายในวันข้างหน้า
4) ครั้นดูการชิงไหวชิงพริบในการ “จัดตั้งรัฐบาล”ก็จะเห็นเลยว่า พรรคพลังประชารัฐ ทำทุกวิถีทางที่จะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลให้สำเร็จ รวมถึงใช้กระแสสังคมและสื่อในเครือข่าย “ไล่ต้อน” พรรคประชาธิปัตย์ ให้เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลให้ได้ เพื่อเป็นปัจจัยให้พรรคภูมิใจไทยได้ข้อสรุปในการร่วมรัฐบาลไปด้วย ซึ่งเล่นบทรอให้ ปชป. ตัดสินใจก่อน
5) ทันทีที่เห็นมติพรรคประชาธิปัตย์ เสนอ นายชวน หลีกภัย ชิงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งก็จะเป็นประธานรัฐสภาไปด้วยในตัว ก็เป็นสัญญาณที่ชัดแล้วว่า ประชาธิปัตย์ร่วมรัฐบาลพลังประชารัฐแน่ ซึ่งมาพร้อมกับข่าวว่า พลังประชารัฐ และเครือข่าย ยอมยกตำแหน่งนี้ให้แก่ ปชป. เพื่อให้การเจรจาเก้าอี้รัฐมนตรีราบรื่นขึ้น เพราะในพลังประชารัฐเองก็มีโควตาที่ถูกจับจองไว้มากมาย นั่นรวมไปถึงโควตาของหัวหน้า คสช. ที่ว่ากันว่า ขอเก้าอี้ว่างให้แก่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ด้วย ซึ่งเก้าอี้สำหรับ พล.อ.อนุพงษ์นั้นอยู่ในเงื่อนไขการต่อรองของ ปชป. คือ เก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ข่าวปล่อยในช่วงค่ำของวันศุกร์ที่ผ่านมาคือ ชวน-ประธาน สุชาติ ตันเจริญ จากพลังประชารัฐ รองคนที่หนึ่ง และครูแก้ว จากภูมิใจไทยคือรองคนที่สอง
6) แนวหน้าออนไลน์ เสนอข่าวในช่วงเช้าวานนี้ว่ารายงานข่าวจากพลังประชารัฐแจ้งว่า ในช่วงค่ำเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม แกนนำพรรคพลังประชารัฐและคีย์แมนจากรัฐบาล นำโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้ทำการหารืออย่างเคร่งเครียด โดยมีความเห็นสอดคล้องกันว่า ไม่สามารถยอมให้นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ขึ้นเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานรัฐสภาโดยตำแหน่งได้ เนื่องจากจะเป็นการทำให้ปชป.มีอำนาจต่อรองมากเกินไป ทั้งที่มีสส. แค่ 52 เสียง แต่กลับได้ตำแหน่งประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ อีกทั้งรับไม่ได้กับเงื่อนไข เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะถ้านายชวน ได้เป็นประธานรัฐสภา จะทำให้มีการผลักดันให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นสิ่งที่พรรคพลังประชารัฐและคสช. ไม่สามารถรับได้ และต้องการผลักดันนายสุชาติ ตันเจริญ ให้เป็นประธานสภา ตามเดิม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระแสข่าวดังกล่าวได้เริ่มแพร่สะพัด ในช่วงเช้าที่บริเวณห้องจัดเลี้ยงอาคารทีโอที โดยเริ่มมีการพูดกันในกลุ่มสส. พรรคพลังประชารัฐ ว่าอาจจะไม่มีการเลือกประธานสภาในวันนี้ และก็มีการพูดต่อๆ กันไปในห้องประชุม
จนกระทั่ง เมื่อเปิดประชุมสภา ภายหลังนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ออกจากห้องประชุม นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส. น่าน พรรคเพื่อไทย ได้กล่าวต่อที่ประชุมว่า มีการพูดกันว่า วันนี้จะมีการเลื่อนวาระการประชุมออกไป หวังว่าจะไม่เป็นอย่างนั้น จากนั้น นายวีระกร คำประกอบ สส. นครสวรรค์ พรรคพลังประชารัฐ จึงได้เสนอต่อที่ประชุมให้เลื่อนวาระเลือกประธานสภาออกไป จึงทำให้การประชุมเกิดความวุ่นวาย สส. ต่างแย่งกันอภิปรายกันอย่างดุเดือด เกือบ 1.30 ชั่วโมง
7) ในที่สุด ความพยายามที่จะเลื่อนวาระการเลือกประธานสภาออกไปก็ไม่สำเร็จ เพราะมีบางคนลงมติ “ผิด” (แล้วต่อไปจะไว้วางใจให้คนพวกนี้ลงมติกฎหมายบ้านเมืองได้ไหมเนี่ย) จนนำมาซึ่งการต้องเลือกประธานสภาทันที
8) ดีลที่ลือกันว่าไม่จบ ปิดไม่ลง ก็น่าจะส่อแววว่าลงตัวเร็วขึ้นแล้ว เมื่อเห็นชื่อผู้ชิงตำแหน่งประธานสภา มีแค่ ชวน หลีกภัย จาก ปชป. กับ สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ จากเพื่อไทย นั่นแปลว่า พลังประชารัฐยอมถอยสุชาติลงมา แต่ปริศนาที่ทิ้งค้างไว้คือ เกมการต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีจะเป็นอย่างไรต่อ
9) ในสถานการณ์ยุ่งๆ ในการประชุมสภา ใครเป็นแฟน ปชป. ก็ก่นด่า พปชร. ว่า “ร้ายฉิบหาย” เช่นกันกับฝ่ายตรงข้ามที่ก็มองในมุมเดียวกันแต่เกลียดกว่า (ฮา...) ว่าทำตัวจับจองเล่นบท “คนดี” แต่ดูทุกกระบวนวิธีที่ทำกันมา ตั้งแต่แม่น้ำห้าสายของ คสช. ชงกฎหมายมาให้ คสช. ได้เปรียบคนอื่น แล้วสุดท้ายชงกันเอง ซดกันเอง ป้อนกันเอง ชนิดที่ว่า เซ้งทั้ง สนช. ครม. สปท. มารับตำแหน่ง ส.ว. รอโหวตนายกฯ และปิดทางคนอื่น ไม่ให้มีทางเป็นรัฐบาลได้ ยิ่งเห็นความเรียบร้อยของการเลือกประธานวุฒิสภาแล้ว ยิ่งชัดว่า อยู่ในสภาพ “กองพลน้อยๆ” ในอาณัติทหาร นั่นแปลว่า ความฝันเรื่อง “ขั้วที่สาม” ที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล เดินเกมอยู่ และเพื่อไทย-อนาคตใหม่ กวักมือหยอยๆ ปิดประตูไปเสีย และส่วนตัวผมเชื่อว่า อนุทินก็ไม่ได้จริงจังกับหนทางนี้เท่าไหร่นัก เป็นแต่สบโอกาสที่จะ “ขึ้นค่าตัว” ได้อย่างหนักแน่นขึ้นเท่านั้น
10) ส่วนแฟนๆ พลังประชารัฐ ก็นั่งก่นด่าประชาธิปัตย์ (ซึ่งก็ทำทุกวี่วันอยู่แล้ว 555) ว่าเล่นตัวเหลือเกิน ต่อรองเหลือเกินเดี๋ยวก็ตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยซะหรอก (ซึ่งหากทำจริงๆ ปชป.เขาก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร) ขณะที่แฟนๆ ปชป. ในสายที่ต้องการให้เป็น “ฝ่ายค้านอิสระ” ก็ออกจะผิดหวัง เริ่มสบถออกมาดังๆกันบ้างแล้ว ด้วยไม่เป็นไปดังความคาดหวัง
11) ผมเองได้ประเมินสถานการณ์ไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว สั้นๆ ว่า
“...ฝ่าย คสช. รวมเอาอำนาจรัฐ กองทัพ ทุน ดินฟ้า ประชาชน และสื่อ เข้าไว้ด้วยกันอย่างเบ็ดเสร็จ เชื่อว่าใครที่บังอาจต้านทาน จะถูกโดดเดี่ยวและถูกสื่อสารว่าเป็นพวก “ไม่เห็นแก่ชาติบ้านเมือง” อันประกอบไปด้วยชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน ผมจึงเชื่อว่า ปชป. จะเข้าร่วมรัฐบาลเพื่อรักษาพรรคไว้จากการถูกลิดโค่นโดยอำนาจทั้งหลายที่ว่ามา ยอมถูกก่นด่าจากประชนชนหลายฟากฝ่ายอย่างอดทน แล้วรอพิสูจน์ตัวตนในวันข้างหน้า เนื่องจากว่า คำว่า “ฝ่ายค้านอิสระ” หรือ “ฝ่ายค้านสร้างสรรค์” อธิบายให้ชาวบ้านเข้าใจได้ยาก ยากในที่นี้ไม่ใช่เรื่องของปัญญาความรู้แต่เป็นเรื่องของ “ความรู้สึก” ดังนั้น เมื่อการจะร่วมหรือไม่ร่วมรัฐบาลต้องโหวตด้วยเสียงของ สส. เป็นหลัก โอกาสที่จะเลือกเข้าร่วมจึงมีมากกว่าไม่เข้า เพราะไม่เช่นนั้น สส. เดินพื้นที่ยากมาก และในภาวะจำยอมนี้ ดีที่สุดก็คือต่อรองให้ได้เงื่อนไขที่ดีที่สุด เพื่อพิสูจน์ตัวในระยะสั้นด้วยการมุ่งมั่นทำงานเท่าที่เวลาจะเป็นใจ เพราะรัฐบาลนี้ ไม่แน่ว่าจะอายุยืนยาวสักเท่าใด
ประชาธิปัตย์ “แพ้ในพื้นที่สื่อ” มานานนับทศวรรษ ถูกทำให้เกิดภาพจำที่ไม่เอาไหนมานานมาก หากยังไม่ใส่ใจต่อเรื่องนี้ ไม่ขับเคลื่อนทั้งมิติของพื้นที่และประเด็นให้ชัด ไม่รุกในการนำเสนอตัวตนและผลงาน ยอมให้สื่อซึ่งส่วนมากเป็นขุมข่ายของระบอบทักษิณ และ พปชร. สร้างภาพจำและกระทำให้มีแต่ภาพลบอยู่ข้างเดียว แล้วไซร้ ทำงาน รักษาอุดมการณ์ หลักการ ให้ขาดใจ ก็ไม่มีใครเข้าใจและชื่นชม
เข้าใจและเห็นใจ ดังนั้น ฝ่าสถานการณ์ยากแค้นแสนเข็ญ ในเวลานี้ไปให้ได้ เริ่มต้นจากงานยากที่สุดงานแรก คือความพร้อมเพรียงและเอกภาพของคนในพรรค เพราะนี่คือเครื่องมือแรกของชัยชนะหรือการล่มสลายในวันข้างหน้า...”
12) ขณะที่ พรรคอนาคตใหม่ ก็อดไม่ได้ ที่ “พ่อน้องฟ้า”จะต้อง “หาประโยชน์” จากสถานการณ์การประชุมสภา ด้วยการเข้าประชุมและต้องถูกเชิญตัวออก ตามคำสั่งของศาล
หลังออกจากห้องประชุมแล้ว นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ แถลงภายหลังออกจากห้องประชุม เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ สส. ว่า ตนยังยืนยันในการเป็นตัวแทนของประชาชนโดยไม่จำเป็นต้องทำหน้าที่ในสภาฯ เพียงอย่างเดียว แต่จะใช้เวลานี้ในการเข้าไปรับฟังปัญหาจากประชาชนแล้วนำไปให้เพื่อน สส. เอาไปอภิปรายหรือตั้งกระทู้ในสภา และจะใช้เวลานี้ขยายแนวคิด อุดมการณ์ และแนวนโยบายของพรรคให้ประชาชนได้เข้าใจพวกเรามากขึ้น ทั้งนี้ ตนจะยังคงทำงานต่อไป ไม่ท้อถอย และจะไม่ไปไหน จะอยู่ตรงนี้ทำงานเพื่อประชาชนต่อไป ตนจะรอวันนั้น แล้วสักวันตนจะกลับมา
ผู้สื่อข่าวถามว่า เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือไม่ นายธนาธรกล่าวว่า ไม่เสียใจ โดยจะใช้เวลาจากนี้ไปกับการรณรงค์เพื่อให้ประชาชนเข้าใจเรามากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องความไม่เป็นประชาธิปไตย และความไม่เป็นธรรมของรัฐธรรมนูญ 2560 เพื่อให้เพื่อน สส. นำไปแก้ไขให้ประชาชน ยังจะเดินหน้าต่อไป สู้ไม่ถอย
ส่วนขณะนี้ 7 พรรคฝ่ายประชาธิปไตยยังหวังถึงชัยชนะในการเลือกประธานสภาฯ อยู่ใช่หรือไม่ นายธนาธรกล่าวว่า คิดว่ามีแนวโน้มที่ดี 245 เสียงของ 7 พรรค ตัดตนออกไปอีก 1 คน จะโหวตไปในทิศทางเดียวกัน จึงไม่ง่ายที่จะคว่ำเสียงของทั้ง 7 พรรค
สำหรับกรณีที่ผู้สนับสนุนอาจจะไม่พอใจหรืออาจมีการชุมนุมนั้น นายธนาธรกล่าวว่า เราเชื่อมั่นว่าการได้มาซึ่งประชาธิปไตยที่ดีที่สุดคือการกระทำผ่านรัฐสภา ถ้าเราไม่เชื่อก็คงไม่มาตั้งพรรค รัฐสภาคือสถานที่อันทรงเกียรติและเหมาะสมที่จะนำพาประเทศไปสู่ประชาธิปไตยมากที่สุด ทั้งนี้ วินาทีนี้จะเป็นการพิสูจน์พรรคอนาคตใหม่ให้ได้เห็นว่า แม้ไม่มีนายธนาธรก็ยังทำงานอย่างเข้มแข็งในสภาฯ ได้ เพราะพรรคอนาคตใหม่ไม่ใช่ธนาธร
13) เมื่อประมวลเหตุการณ์ทั้งหมดออกมา จะพบว่า วี่แววของความสงบที่แท้จริงยังไม่มี การต่อสู้ทางการเมือง การต่อรองทางการเมือง ความขัดแย้งทางการเมืองจะยังถูกสานต่อต่อไป
แต่อย่างไรก็ตาม สภาพในสภาเมื่อวานนี้ คือสภาที่ทำให้คน “บ่น” มากที่สุด “ด่า” มากที่สุด และเป็นภาพสะท้อนที่ชัดที่สุดเวลา “สงครามแห่งขั้วและข้าง” กำลังนับหนึ่งขึ้นในพื้นที่ใหม่ ซึ่งว่างเว้นมา 5 ปี คือใน “สภา”
ซึ่งต้องติดตามกันต่อไปว่า นัดที่จะเลือกนายกฯ จะวุ่นยิ่งกว่านี้เพียงใด!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี