สังคมการเมืองแทบทุกหนทุกแห่งต่างโหยหาผู้นำที่ดี เข้มแข็ง ยุติธรรม มีความสามารถ และนำพาประเทศไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง หรือในยามวิกฤติ ก็สามารถนำรัฐนาวาให้พ้นจากภยันตรายทั้งปวง แต่จะไปตามหาผู้นำที่แสนดีดังกล่าวได้ที่ไหน ในระบอบประชาธิปไตยก็ฝากไว้กับระบบการเลือกตั้ง แต่ผู้ที่ออกแบบระบบการเลือกตั้งจะคิดถึงประเด็นนี้หรือไม่? มากน้อยแค่ไหน คงจะต้องไปถามคณะกรรมการผู้ร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญเหล่านั้น
อย่างไรก็ตาม ก็มีประเด็นหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในสมองขณะที่นั่งทบทวนเหตุการณ์ต่างๆ ในสังคมการเมืองไทย นั่นคือ ความสำคัญของการหล่อหลอม “มติมหาชน”
ท่านประธานาธิบดีลินคอล์น ให้ความสำคัญกับประเด็นเรื่องนี้อย่างมาก (หรือมากที่สุด) ท่านเคยพูดไว้ว่า ทุกอย่างเป็นไปได้หมด หากประชาชนสนับสนุน แต่ถ้าประชาชนไม่สนับสนุน อุดมการณ์ที่ดีเลอเลิศเท่าใด ก็ไม่สามารถบรรลุผลสำเร็จได้ ฉะนั้น เมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่างมลรัฐทางเหนือและมลรัฐทางใต้ ด้วยเรื่องระบบทาส และกลายเป็นสงครามในที่สุด ใน ปี ค.ศ. ١٨٦١ ท่านประธานาธิบดีก็ไม่ประกาศสงครามด้วยเหตุผลนี้ แต่อ้างเหตุผลที่ฝ่ายใต้โจมตีป้อมปราการ “ซัมเตอร์” ของรัฐบาลสหรัฐฯ และก่อสงครามขึ้นเพื่อแยกตัวจากสหรัฐฯ จึงต้องทำสงครามโต้ตอบ เพื่อรักษาความเป็นสหภาพ (สหรัฐอเมริกา) ดังเดิม ลินคอล์นคิดว่ามติมหาชนยังไม่พร้อมที่จะทำสงครามเพื่อปลดปล่อยทาส ในปี ค.ศ. ١٨٦١ และรอจนกระทั่งต้นปี ค.ศ. ١٨٦٣ จึงประกาศเลิกทาส
อย่างไรก็ตาม ผู้นำที่เก่งกล้าสามารถ คงมิใช่เอาแต่เฝ้าดูกระแสความรู้สึกนึกคิดของผู้คนในสังคม ผู้นำส่วนใหญ่คือผู้สร้างและหล่อหลอม “มติมหาชน” ดังที่อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้กระทำมาแล้วในอดีต ในโอกาสต่างๆ เพียงแต่ในครั้งสุดท้ายอาจมีกระแสคลื่นที่ถาโถมมาหลายทิศทาง โดยเฉพาะกลุ่มชนชั้นกลางหลายๆ ระดับ ที่ส่วนใหญ่คือผู้สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ ติดอยู่กับ “กับดัก” ของปัญหาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ที่อาจจะเผชิญกับมรสุมร้ายจากฝ่ายต่อต้าน
ที่สำคัญ ขณะนี้และในช่วงเวลา ٤ ปีข้างหน้า หรือก่อนการเลือกตั้งครั้งต่อไป หากพรรคได้ปรับทิศทางการดำเนินงาน ให้ความสนใจในการสร้าง มติมหาชน ที่พร้อมจะเป็น “เดโมแครต” ในจิตวิญญาณ มีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับระบบการเมือง-การปกครองรูปแบบต่างๆ และศรัทธาในวิถีทางสายกลาง และระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น ส่งเสริมระบบคุณธรรมในการบริหารงานทุกระดับ และการปกครองตนเองในระดับล่าง และในภารกิจนี้จะต้องทำในระดับพรรค ระดับสาขาของพรรค และการสร้างพันธมิตร กับองค์กรต่างๆ ทางสังคม ขยายกิจกรรมของสมาชิกพรรคให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
ในส่วนของการร่วมในรัฐบาลขณะนี้ หากได้รับความไว้วางใจให้ดูแลกระทรวงศึกษาธิการ ก็ควรรับไว้ด้วยความเต็มใจ และมุ่งมั่นดำเนินนโยบายสร้างพลเมือง ต่อจากครั้งก่อนที่ประชาธิปัตย์เคยดูแลกระทรวงศึกษาธิการมาก่อน
การแก้จน สร้างคน สร้างชาติ เป็นคำขวัญที่มีความหมายลึกซึ้ง หากได้ทำงานเกี่ยวข้องกับปัญหา “ปากท้อง” ตามที่ใจปรารถนา ก็นับว่าเหมาะสม แต่กระทรวงที่สำคัญที่แท้จริงคือกระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงมหาดไทย เพราะเป็นกระทรวงที่จะสร้างคน และเมื่อสร้างคนได้สำเร็จ ก็จะแก้ปัญหาความยากจนได้ในขณะเดียวกัน
โครงการสร้างพลเมืองประชาธิปไตย ที่พรรคประชาธิปัตย์ได้สร้างผลงานไว้ น่าจะถูกลืมโดยรัฐบาลต่อๆ มา แต่ถ้าวิเคราะห์ให้ดี นี่คือกระบวนการสร้างรากฐานของอาคารบ้านเรือน ซึ่งจะมั่นคง แข็งแรง และสวยงามอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับการวางรากฐานเรื่องความประพฤติ-บุคลิกนิสัย ของคนรุ่นใหม่ในปัจจุบันและอนาคต
อีกทั้งกระทรวงมหาดไทย ที่จะมีความสำคัญเกี่ยวกับการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่น (โดยวิธีการที่ถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ) เพื่อให้เกิดการพัฒนาตนเองทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง-การปกครอง หากได้เข้าไปดูแลงานของ ٢ กระทรวงนี้ จะเป็นส่วนสำคัญที่จะปฏิรูปสังคมและเศรษฐกิจ และนำไปสู่เป้าหมายได้
ปัจจุบัน “คนรุ่นใหม่” ได้กลายเป็นประเด็นสำคัญในสังคมการเมือง พรรคใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา บางพรรคสามารถระดมแรงสนับสนุนจากคนรุ่นใหม่ได้เป็นกอบเป็นกำ “คนรุ่นใหม่” ส่วนหนึ่ง หรือส่วนใหญ่ น่าจะเป็นผลผลิตของการศึกษาระดับหลังมัธยมศึกษา (ระดับปีที่ ١-٢ ของมหาวิทยาลัย) ฉะนั้นในนโยบายการสร้างพลเมืองและผู้นำคนรุ่นใหม่ มหาวิทยาลัยรังสิตและมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นมหาวิทยาลัยแรกๆ ที่จัดหลักสูตรการศึกษาเรื่อง พลเมืองในระบอบประชาธิปไตย สำหรับมหาวิทยาลัยรังสิต ได้ใช้ชื่อวิชาว่า “ธรรมาธิปไตย” เพื่อตอกย้ำความผูกพันระหว่างการเมืองกับหลักธรรม และเน้นให้ความสำคัญของการพัฒนาคุณภาพของคนไทย ที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจการสาธารณะด้วยจิตวิญญาณเสียสละและไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัว ทั้งมหาวิทยาลัยรังสิตและมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดำเนินการเรื่องนี้เพื่อบุกเบิกเส้นทางการเรียนการสอนวิชาพื้นฐานให้มีความหมายตรงประเด็นกับปัญหาของชาติ (- ซึ่งคือความอ่อนแอและความล้มเหลวทางการเมือง) กระทรวงอุดมศึกษา-วิทยาศาสตร์-วิจัย ควรจะมีบทบาทสำคัญส่งเสริมให้ทุกๆ สถาบันการศึกษาระดับนี้ ได้จัดหลักสูตรปีที่ ١ ระดับอุดมศึกษา ให้มีคุณสมบัติที่เรียกว่า “Political Literacy” - ผู้มีความรู้เรื่องการเมืองการปกครองในระดับพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตยแบบของไทยที่ยังคงยึดโยงกับสถาบันชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์ - เป็นประชาธิปไตยสายกลางที่ผูกโยงผู้คนทุกๆ รุ่น ทุกๆ เชื้อชาติ ศาสนา ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ที่กระจายรายได้ให้ทั่วถึง และยกระดับความรู้-ความคิดของประชาชนให้เท่าเทียมกันกระทรวงอุดมศึกษา-วิทยาศาสตร์-วิจัย จะต้องทำหน้าที่ในการเป็นผู้นำทางการศึกษา ไม่มองเพียง “S M E” Science - Mathematic และ Engineering เพราะนั่นคือประเด็นรอง แต่ต้องเน้น “Social Science” ที่รวมศึกษาศาสตร์ รัฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ศิลปศาสตร์ สังคมวิทยา การคัดเลือกและสร้างอาจารย์-ครูผู้นำที่จะเป็นตัวแบบหรือกำกับคณะวิชาเหล่านี้ คือปัจจัยตัวแปรที่จะก่อให้เกิดผลสำเร็จ
โดยสรุป การปูพื้นฐานทางด้านสังคมศึกษา รวมหลากหลายวิชาดังกล่าว โดยเฉพาะประวัติศาสตร์การเมืองของอังกฤษ สหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศส ในช่วง ٣٠٠ ปี ถึงปัจจุบัน และประวัติศาสตร์การเมืองไทยจากสมัยต้นรัตนโกสินทร์ จนกระทั่งปัจจุบัน น่าจะเป็นพื้นฐานที่แข็งแกร่งสำหรับจะต่อยอดในวิชาอื่นๆ
แต่ประวัติศาสตร์อย่างเดียวก็ไม่มีประโยชน์ จะต้องศึกษาประวัติศาสตร์ควบคู่กับการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และความคิดทางการเมือง เพราะประเด็นหลังนี้คือเป้าหมายหลักของการสร้างความเป็นพลเมือง โดยสรุป ควรจะต้องศึกษาทฤษฎีการเมืองควบคู่ไปกับประวัติศาสตร์การเมือง เช่น ศึกษาทฤษฎีการเมือง (ประชาธิปไตย) ของไทยควบคู่กับประวัติศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย และตั้งประเด็นคำถามให้นักศึกษาได้คิดวิเคราะห์ เปรียบเทียบกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น จีน อินเดีย เป็นต้น
โดยสรุป การปฏิรูปการเรียนการสอนสังคมศาสตร์-การเมือง ทั้งในระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษา คือการปูทางไปสู่การหล่อหลอมมติมหาชนในอนาคต จะต้องวางแผน ٢٠ ปี เพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคมที่แท้จริง หากดำเนินการดังกล่าวเราคงไม่ต้องเผชิญปัญหาเดิมๆ ซ้ำซากเรื่องการรัฐประหารทุกๆ ١٠ ปี และก่อให้เกิดความชะงักงันของกระบวนการประชาธิปไตย ซึ่งต้องเริ่มต้นกันใหม่ทุกๆ 5 ปี หรือ 10 ปี
ดร.วิชัย ตันศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี