วิจารณ์กันหึ่งว่าเป็น “โปรย้ายค่าย” เมื่อทราบข่าวว่า นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือ “แรมโบ้อีสาน” หนึ่งในแกนนำคนเสื้อแดง และอดีตสมาชิกพรรคเพื่อไทย หลุดจากการเป็นจำเลยในคดีทำลายการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่พัทยา เพราะเหตุว่า “ขาดอายุความ”
เรื่องนี้ นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงกรณีที่พนักงานอัยการสำนักงานจังหวัดพัทยา ไม่สามารถนำตัว นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ อดีต นปช. และอดีตผู้สมัคร สส.พรรคพลังประชารัฐ มาฟ้องต่อศาลจังหวัดพัทยาในคดีล้มประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ปี 2552 จนคดีขาดอายุความ ว่าได้รับชี้แจงข้อมูลจากสำนักงานอัยการจังหวัดพัทยาว่าเดิมเหตุการณ์ในคดีเกิดเมื่อวันที่ 11 เม.ย. 2552 คดีนี้กลุ่มผู้ต้องหาที่ถูกดำเนินคดีนั้นมีอายุความ 10 ปี จะหมดอายุความในวันที่ 11 เม.ย. 2562 พนักงานสอบสวนได้รวบรวมสำนวนพร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาประกอบด้วย นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นายจตุพร พรหมพันธุ์, นพ.เหวง โตจิราการ, นายจักรภพ เพ็ญแข, นายอดิศร เพียงเกษ และนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์
ในความผิดฐานร่วมกันโฆษณาหรือประกาศให้ขัดคำสั่งเจ้าพนักงานซึ่งสั่งให้เลิกการมั่วสุม, ร่วมกันโฆษณาหรือประกาศให้กระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจาหรือวิธีอื่นใด เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน มาส่งอัยการในวันที่ 1 ส.ค. 2560 ในส่วนของนายจักรภพ ผู้ต้องหาได้มีการหลบหนีออกนอกประเทศ จึงได้มีการขอศาลออกหมายจับตั้งแต่ต้น โดยหลังจากที่อัยการเจ้าของสำนวนรับสำนวนมาก็มีการสั่งสอบสวนเพิ่มเติมตามรูปคดี ประกอบกับกลุ่มผู้ต้องหามีการยื่นร้องขอความเป็นธรรมเข้ามา ซึ่งทางอัยการก็ได้มีการพิจารณาระหว่างที่รอผลการสอบสวนเพิ่มเติม จนวันที่ 8 ก.พ. 2562 ทางพนักงานอัยการมีคำสั่งฟ้องผู้ต้องหาทุกคน
จากนั้นได้นัดให้ผู้ต้องหามาวันที่ 25 ก.พ. 2562 เพื่อนำตัวยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดพัทยา แต่ปรากฏว่าผู้ต้องหาทั้งหมดขอเลื่อนการส่งตัวฟ้อง อัยการก็อนุญาตให้เลื่อนเป็นวันที่ 19 มี.ค. 2562 แต่ระหว่างที่จะถึงวันนัดฟังคำสั่ง วันที่ 15 มี.ค. 2562 นายสุภรณ์ก็ได้มาขอเลื่อนนัดฟังคำสั่ง โดยอ้างเหตุติดปราศรัยเลือกตั้ง ส่วนนายวีระกานต์, นายณัฐวุฒิ, นายจตุพร และ นพ.เหวง เดินทางมาตามนัดวันที่ 19 มี.ค. อัยการจึงยื่นฟ้องทั้งสี่เป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดพัทยาในวันดังกล่าว จะขาดเพียงนายอดิศรและนายสุภรณ์ ซึ่งไม่ได้มาโดยอ้างเหตุติดหาเสียงเช่นเดียวกัน
ทางอัยการจึงมีคำสั่งให้เลื่อนวันนัดฟังคำสั่งของสองผู้ต้องหาที่เหลือไปเป็นวันที่ 2 เม.ย. 2562 พอถึงวันที่ 2 เม.ย. นายอดิศรมาตามนัด อัยการจึงนำตัวฟ้องศาลตามไปกับจำเลยทั้งสี่ที่ฟ้องไปก่อนหน้านี้ แต่ในส่วนของนายสุภรณ์ ก่อนที่จะถึงวันนัดวันที่ 2 เม.ย. 2562 นั้น ได้มีการส่งนายศุชัยวุฒิ ชาวสวนกล้วย ทนายความ มายื่นคำร้องขอเลื่อนนัดฟังคำสั่ง เนื่องจากตัวนายสุภรณ์มีอาการหายใจไม่ออก นอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล แต่ทางอัยการพิจารณาแล้วไม่อนุญาตให้เลื่อน
เมื่อถึงเวลานัดไม่มาอัยการจึงได้มีหนังสือด่วนที่สุดถึง ผกก.สภ.เมืองพัทยา และ ผบช.ภ.2 ให้ดำเนินการจับกุมตัวนายสุภรณ์มาส่งอัยการฟ้องต่อศาลให้ได้ภายในวันที่ 5 เม.ย. 2562 แต่ทางตำรวจแจ้งว่ายังไม่สามารถนำตัวมาได้ จึงดำเนินการขอศาลจังหวัดพัทยาออกหมายจับนายสุภรณ์วันที่ 4 เม.ย. 2562 โดยหลังออกหมายจับ ทางอัยการยังได้มีหนังสือด่วนที่สุดออกมาอีกส่งถึงผกก.สภ.พัทยา, ผบช.ภ.2, ผบก.ชลบุรี, นายอำเภอและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้เร่งดำเนินการจับกุมตัวนายสุภรณ์มาให้อัยการฟ้องต่อศาลให้ได้ เนื่องจากคดีของนายสุภรณ์จะหมดอายุความในวันที่ 11 เม.ย. 2562 โดยในหนังสือที่ส่งถึงทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้เน้นย้ำเป็นอักษรดำเข้ม
“ผมขอเรียนว่าเรื่องนี้ทางอัยการไม่ได้มีการปล่อยปละละเลย จากที่ผมได้อธิบายเป็นขั้นตอนจะเห็นได้ว่า ในระหว่างดำเนินการที่เรารับสำนวนมาเป็นช่วงหลังเกิดเหตุถึง 8 ปีกว่า ซึ่งเราจะสั่งคดีเลยก็ไม่ได้ เนื่องจากกลุ่มผู้ต้องหาร้องขอความเป็นธรรม พอเราสั่งเด็ดขาดช่วง ก.พ. 2562 เราก็มีการเร่งรัดที่จะฟ้องมาตลอด อย่างกรณีนายณัฐวุฒิ, จตุพร ก็เลื่อนหลายครั้งจนมาฟ้องชุดแรกได้ 15 มี.ค. 2562 และชุดสองที่นายอดิศรวันที่ 2 เม.ย. ส่วนแรมโบ้ไม่มา เราก็ดำเนินการตามขั้นตอนอย่างละเอียด เราไม่ได้ปล่อยปละละเลยแน่นอน คดีนี้ที่เราไม่ได้ตัวมาฟ้องจนหมดอายุความ ก็จะมีสุภรณ์กับจักรภพที่หนีไปต่างประเทศ การไปตามจับก็ไม่ใช่หน้าที่อัยการ แต่เราทำตามขั้นตอนทุกอย่าง ส่วนเรื่องจะมีการตั้งสอบอัยการเจ้าของสำนวนหรือไม่ ขณะนี้ยังไม่มีรายงานมา ซึ่งอัยการเจ้าของสำนวนก็ได้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่อย่างเต็มที่” รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าว
เอาล่ะ ไม่ใช่ความผิดอัยการ ก็ต้องเป็นความผิดของ “ตำรวจ” ใช่ไหมครับ หรือจะให้คนเขาเข้าใจกันต่อไปว่าเป็น “โปรย้ายค่าย” !!
สุภรณ์มีอดีตที่ผาดโผนมาก ยากที่ใครจะนึกออกว่ามาอยู่กับ “ลุงตู่” คนดีศรีประเทศไทยได้อย่างไร โดยเฉพาะเมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2557 หลังการรัฐประหาร นายสุภรณ์ เคยสาบานต่อหน้าย่าโม และให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า เมื่อตนประกาศวางมือทางการเมืองก็ต้องมากล่าวบอกย่าโมว่า บัดนี้ลูกหลานคนนี้ได้ประกาศยุติบทบาททางการเมืองและขอวางมือทางการเมืองตลอดไป และขอยุบองค์กร อพปช. ภารกิจจากวันนี้ไปหน้าที่ของตนคือดูแลแม่และครอบครัว จะทำหน้าที่ในฐานะลูกหลานคนโคราช เป็นประชาชนคนหนึ่ง และจะอยู่บนผืนแผ่นดินนี้ไม่ไปไหนเด็ดขาด และไม่อยากให้เรียกชื่อ “แรมโบ้อีสาน” อีก ขอให้ชื่อนี้เป็นตำนานทางการเมืองไป เพราะชื่อแรมโบ้อีสานเกิดจากสื่อมวลชนในสภาฯ สมัยที่ตนเป็น สส.สมัยแรกได้ตั้งฉายาให้ ดังนั้น จากวันนี้ไปคำว่า แรมโบ้อีสาน ให้เป็นตำนานทางการเมือง จารึกไว้ในประวัติศาสตร์ทางการของผม นับจากวันนี้คือ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ลูกหลานชาวครบุรี-เสิงสางเป็นสามัญชนคนธรรมดาคนหนึ่ง นี่คือจุดยืนยัน
“ขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า ให้ คสช. โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. และคณะทุกคนให้สบายใจว่า เรา อพปช.จะไม่ได้การเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น”
นายสุภรณ์กล่าวอีกว่า เมื่อเช้านี้ พล.ท.ชาญชัย ภู่ทอง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้ติดต่อมาทางโทรศัพท์บอกว่าจะตั้งตนเป็นหนึ่งในคณะกรรมการปรองดองสมานฉันท์ในภาคอีสาน ตนจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ จะทำให้บรรยากาศในภาคอีสาน และ จ.นครราชสีมา เกิดความเป็นปึกแผ่นเป็นหนึ่งเดียวกัน จะไม่มีการแบ่งสี แบ่งฝ่าย จะไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งกันอีกต่อไปในสังคมอีสานและ จ.นครราชสีมา บ้านเรา
นอกจากนี้ นายสุภรณ์กล่าวถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่า ไม่ได้ติดต่อมานานแล้ว จริงๆ ตนสัมพันธ์กับพรรคฯ แค่นั้นเอง สำหรับนิสัยตนไม่เคยประจบสอพลออะไร และไม่เคยบินไปหาท่านในต่างประเทศ ส่วนความสัมพันธ์ความเป็นพี่เป็นน้องเป็นเพื่อนเป็นผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือก็เป็นเรื่องปกติ แต่ทางการเมืองเราไม่มีเยื่อใยต่อกันอีกแล้ว แม้ว่าต่อให้มาทาบทามก็ยืนยันว่าไม่ลงสมัคร สส. ตนประกาศชัดเจนต่อหน้าย่าโมที่ศักดิ์สิทธิ์แล้ว ตนจะไม่ทำอะไรให้เกิดความหนักอกหนักใจต่อคณะ คสช. อย่างเด็ดขาด และถ้า พ.ต.ท.ทักษิณติดต่อมาตนก็พูดคุยในฐานะผู้ใหญ่ถามความทุกข์ความสุขการเป็นอยู่ได้ แต่ห้ามคุยการเมือง แต่ยังคบอยู่เพราะท่านเป็นผู้ใหญ่ พี่สุเทพตนก็ยังคบอยู่เลย
ต่อมา วันที่ 23 ก.ค. 2561 “สุภรณ์” ให้สัมภาษณ์แบบเปิดใจกับ “คม ชัด ลึก” ว่า สาเหตุที่เขาออกจากพรรคเพื่อไทย เพราะ “น้อยเนื้อต่ำใจผู้ใหญ่ในพรรค” และยืนยันว่า “ไม่เกี่ยวกับทหาร” โดยสุภรณ์ เล่าว่า ความจริงเขาคิดจะลาออกตั้งแต่ก่อนการยึดอำนาจเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 โดยตอนนั้นเกือบจะไปแถลงลาออกที่พรรค แต่ถูกทางพรรคขอร้องเอาไว้
“มันเป็นความเจ็บปวดลึกๆ ที่ผ่านมาผมทุ่มเทให้พรรคมาตลอด แต่สิ่งที่ผมและตระกูลอัตถาวงศ์ได้รับจากพรรคทำให้ผมเจ็บปวด และก็เหมือนได้จังหวะหลังจากทหารยึดอำนาจผมจึงประกาศเลิกเล่นการเมืองและไปลาออกจากพรรคเพื่อไทย ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2557 ขอย้ำว่าไม่เกี่ยวกับทหาร ไม่เกี่ยวกับว่าผมเข้าไปอยู่ในค่ายทหาร 7 วันแล้วออกมาก็เปลี่ยนใจ ไม่เกี่ยวเลย แต่ที่ออกเพราะปัญหาในพรรค”
เมื่อถามว่าจะเรียกว่าได้หรือไม่ว่า ตอนนี้ “สุภรณ์” เลือก พล.อ.ประยุทธ์ เรียบร้อยแล้ว ไม่เลือก “ทักษิณ” แล้ว แรมโบ้อีสาน ตอบแบบไม่อ้อมค้อมว่า“พล.อ.ประยุทธ์ ท่านเข้ามาแก้ปัญหาบ้านเมือง ท่านตั้งใจเข้ามาทำงาน และท่านก็เป็นคนโคราชด้วย ท่านก็ไม่ใช่คนไม่ดี ฉะนั้นจะเสียหายอะไรถ้าผมจะสนับสนุนลูกหลานย่าโม ที่จะช่วยพัฒนาโคราชได้ ทำให้บ้านเมืองเดินไปได้ ถ้าท่านมาตามกติกา ผมก็พร้อมจะสนับสนุนท่าน”
สุภรณ์ ย้ำอีกครั้งซึ่งสะท้อนถึงปมที่อยู่ในใจว่า “ที่ไหนที่ให้เกียรติเรา ที่ไหนที่ทำงานด้วยแล้วสบายใจ ก็เลือกตรงนั้น”
สุภรณ์ บอกว่า นับแต่เขาถูกปล่อยตัวออกมาจากค่ายทหารหลังยึด คสช.อำนาจเมื่อปี 2557 ก็ไม่เคยมีคนในพรรคโทร.มาถามสารทุกข์สุกดิบใดๆ รวมทั้งเมื่อครั้งที่แม่และภรรยาป่วยและไม่เคยมีผู้ใหญ่ในพรรคติดต่อไปประชุมหรือพูดคุยในพรรค ยิ่งแสดงว่าเขาไม่ใช่คนในพรรคแล้ว แต่ไม่เข้าใจว่าเมื่อเขาจะไปอยู่พรรคอื่นทำไมต้องออกมาโจมตีกันมากมาย
“ตอนที่ผมออกมาจากค่ายทหารแล้วประกาศเลิกเล่นการเมือง คนในพรรคก็ออกมาโพสต์ด่า ส่งข้อความมาด่า ตอนนั้นมีการไปพูดถึงขนาดว่าผมเอาชื่อแกนนำไปให้ทหารไล่ล่า ซึ่งไม่เป็นความจริง วันนี้พอผมจะไปอยู่พรรคอื่นก็ออกมาด่า ผมไม่เข้าใจในเมื่อผมก็ไม่ได้เป็นคนในพรรคแล้ว จะมาด่าผมทำไม จะไปไหนก็เป็นเรื่องของผม”
ส่วนเรื่องคำสาบานต่อย่าโมว่าจะเลิกเล่นการเมืองตลอดชีวิตนั้น สุภรณ์ บอกว่า จริงๆ เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2557 ที่ไปกราบย่าโมพร้อมกับแม่ เขาไม่ได้กล่าวคำสาบานต่อย่าโมว่าจะเลิกเล่นการเมือง เพียงแต่ไปกราบขอบคุณที่ท่านคุ้มครองให้ปลอดภัยกลับมา
“ด้วยความสัตย์จริง ผมไม่ได้สาบานอะไรต่อย่าโมหรอก ตอนที่ไปจุดธูปกราบท่านก็เพียงแต่ขอบคุณที่ท่านคุ้มครองให้ผมกลับมาอย่างปลอดภัย (หลังถูกทหารคุมตัวไว้ 7 วัน) แต่ตอนมาให้สัมภาษณ์ก็บอกตรงๆ ว่ามันเหมือนกลอนพาไป เพราะตอนนั้นมีความเจ็บแค้นอยู่ในใจจากเรื่องในพรรค เลยบอกว่าสาบาน แต่เมื่อสังคมเข้าใจไปแล้วว่าผมสาบาน ก็ไม่เป็นไร”
นี่คือสุภรณ์ คนที่บัดนี้ อยู่ใน “ค่ายคนดี” พลังประชารัฐ!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี