ต้องยอมรับว่า โครงการสวัสดิการแห่งรัฐของรัฐบาล คสช. หรือ “บัตรลุงตู่” เป็นโครงการที่มีผลลัพธ์เป็นรูปธรรม จับต้องได้ กินได้จริงๆ และทุจริตยาก เพราะโอนเงินตรงเข้าบัญชีชาวบ้านที่มาขึ้นทะเบียนไว้ มีตัวตนจริง
1.ช่วงแรกที่ทำโครงการ นักวิชาการ นักการเมือง พรรคการเมืองจำนวนมาก ก็พากันรุมขย่ม ปรามาส ด้อยค่า หาว่าแค่สร้างภาพบ้าง ทำได้แค่ประเดี๋ยวประด๋าวบ้าง แสดงความเห็นคัดค้านต่างๆ นานา
แต่ช่วงก่อนเลือกตั้ง ก็ไม่ปรากฏว่าจะมีพรรคการเมืองใดจะยกเลิกโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีแต่จะเพิ่มเติมสิทธิประโยชน์ให้สะดวกขึ้น มากขึ้น และอาจเปลี่ยนชื่อโครงการไปเท่านั้น
ชาวบ้านที่ลงคะแนนให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จำนวนมากก็กล่าวไปในทางเดียวกันว่า เพราะโครงการนี้จับต้องได้ พูดจริง ทำจริง และหวังว่าจะสานต่อ พัฒนา ต่อยอดโครงการต่อไปตามนโยบายที่หาเสียงไว้
2.แน่นอนว่า โครงการสวัสดิการแห่งรัฐ “บัตรลุงตู่” เป็นการตบหน้านักการเมืองในระบอบทักษิณฉาดใหญ่ เพราะเคยค่อนขอดไว้สารพัด แต่พอถึงเวลาเลือกตั้งพรรคตรงข้ามกับ คสช.ก็ไม่กล้าจะประกาศยกเลิกโครงการนี้
แถมรัฐบาล คสช. ยังพูดจริง ทำจริง และจะทำต่อเนื่อง ตรงข้ามกับที่นักการเมืองอย่างทักษิณ ชินวัตร เคยใช้โครงการลงทะเบียนคนจนหาเสียงเลือกตั้ง “ฟันแล้วทิ้ง” เอาคะแนนนิยมและตีจาก ไม่ทำจริงเหมือนคำพูด
คงจำกันได้... การขึ้นทะเบียนคนจนในยุคทักษิณ แหกตาคนจน กระทั่งว่านายเสนาะ เทียนทอง อดีตแกนนำรัฐบาลทักษิณ เคยออกมาแฉเองว่า “...การจดทะเบียนคนจนนั้น ผมเคยแนะนำว่ามันทำไม่ได้ ไปประกาศเฉยๆ ไม่ได้ เอามาขึ้นทะเบียนเฉยๆ คนที่เป็นหนี้สินอยู่ที่ไม่ใช่คนจนก็ไปจดทะเบียนด้วย มันจะบานปลายไปใหญ่ พี่ไม่เห็นด้วยมองด้วยจิตสำนึกมันปฏิบัติไม่ได้ มันได้แค่โชว์ตัวเลขตอนเลือกตั้งจากนั้นไม่มีผลจริง แต่ทักษิณตอบว่า โธ่...พี่เหนาะ คนตาบอดมันกลัวเสือเหรอ ถ้าเราไม่พูดแบบนี้เราจะได้เสียงเหรอ…”
3.ในร่างนโยบายรัฐบาลล่าสุด แน่นอนว่าจะต้องมีโครงการสวัสดิการแห่งรัฐต่อไป
ในฐานะนโยบายที่จะช่วยเหลือคนมีรายได้น้อย ลดความเหลื่อมล้ำ เสริมสร้างสวัสดิการประชาชน
สินค้าในร้านค้าครอบคลุมสินค้าที่ชาวบ้านผลิตมากขึ้น จ่ายผ่านแอพพลิเคชั่นได้ด้วย และบัตรก็กดเงินสดออกมาใช้ได้สะดวกขึ้น รวมถึงรายละเอียดการต่อยอดโครงการที่คงจะประกาศรายละเอียดกันต่อไป
4.ในเมื่อรัฐบาลชุดใหม่จะดำเนินการต่อยอดแน่ๆ จึงอยากจะขอฝากให้ผู้เกี่ยวข้องได้พิจารณาข้อคิดความเห็นและข้อเสนอแนะของ ดร.สมชัย จิตสุชน ผอ.วิจัย ทีดีอาร์ไอ ซึ่งทำงานวิชาการเกี่ยวกับเศรษฐกิจชาวบ้าน หนี้ครัวเรือน และติดตามการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำมาโดยตลอด
ดร.สมชัยได้ประเมินผลงานของรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา (ประยุทธ์ 1) ด้านการลดความเหลื่อมล้ำและสวัสดิการประชาชน พร้อมให้ข้อเสนอแนะน่าสนใจ ดังต่อไปนี้
“....เช่นเดียวกับหลายรัฐบาลก่อนหน้า รัฐบาลประยุทธ์ 1 ให้คำสัญญาในเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำและดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย โดยได้บรรจุเป็นประเด็นสำคัญในแผนยุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิรูปประเทศ
และภายในเวลา 1 ปี ก็สามารถทำสิ่งที่ทุกรัฐบาลก่อนหน้าไม่เคยประสบความสำเร็จ คือ การออกพระราชบัญญัติการรับภาษีมรดก พ.ศ. 2558 ถือได้ว่าเป็นการแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรมในความพยายามลดความเหลื่อมล้ำ อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้มีประสิทธิผลน้อยมากจากหลักฐานจำนวนผู้เสียภาษีและรายได้ เช่นเดียวกับภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่สามารถออกเป็นกฎหมายได้ในรัฐบาลนี้ แต่คาดว่ามีประสิทธิผลในการลดความเหลื่อมล้ำน้อยกว่าที่ควรมากเช่นกันเพราะมีการปรับแก้อัตราภาษีหลายรอบ แสดงถึงความไม่สามารถหรือไม่ต้องการต้านแรงเสียดทานของกลุ่มทุนที่จะเป็นผู้เสียภาษี สอดคล้องกับข้อกังขาของสังคมต่อนโยบายเอื้อกลุ่มทุนอีกหลายประการและสอดคล้องกับรายงานต่างประเทศที่ระบุว่าความเหลื่อมล้ำด้านสินทรัพย์ของไทยติดอันดับต้นๆ ของโลก (ซึ่งแม้จะมีประเด็นถกเถียงเชิงวิชาการ แต่มีความน่าเชื่อถือมากกว่าที่บุคลากรของรัฐบาลแสดงความเห็นตอบโต้)
ในส่วนของการดูแลผู้มีรายได้น้อย การยกเลิกนโยบายประชานิยมขนาดใหญ่เช่นโครงการจำนำข้าวทุกเม็ด แม้จะถูกต้องในเชิงหลักการ แต่ได้ส่งผลให้รายได้ของเกษตรกรจำนวนมากลดลงอย่างค่อนข้างแรง ซึ่งรัฐบาลก็ได้ออกมาตรการหลายประการเพื่อบรรเทาผลกระทบ แม้จะไม่สามารถช่วยได้มากเนื่องจากราคาพืชผลหลักหลายชนิดเข้าสู่ช่วงขาลงพอดี ทำให้ในที่สุดรัฐบาลริเริ่มโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
โครงการนี้ สะท้อนจุดยืนทางการเมืองของรัฐบาลประยุทธ์ที่ต้องการช่วยเหลือประชาชนแบบเจาะจงกลุ่ม มากกว่าแนวทางนโยบายสวัสดิการถ้วนหน้าที่รัฐบาลก่อนหน้าทำ (เช่นโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุถ้วนหน้า)
จุดยืนนี้แสดงออกในนโยบายอื่นด้วย เช่น การริเริ่มให้เงินอุดหนุนการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด (ซึ่งเป็นเรื่องน่าชมเชยอย่างยิ่ง เป็นการลงทุนระยะยาวและแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่สัมพันธ์กันอีกหลายเรื่อง) แต่เจาะจงให้เฉพาะเด็กในครอบครัวยากจนและเมินเฉยข้อเรียกร้องของภาคประชาชนที่ต้องการให้โครงการนี้เป็นแบบถ้วนหน้าเพื่อแก้ปัญหาการตกหล่นเด็กยากจน (ซึ่งเป็นปัญหาที่เลี่ยงไม่ได้ตราบใดที่มีกระบวนการคัดกรองคนจน โดยพบว่าร้อยละ 30 ของเด็กไทยแรกเกิดยากจนไม่ได้รับเงินอุดหนุน) ทั้งที่เป็นโครงการที่ให้ผลตอบแทนการลงทุนต่อสังคมมากที่สุดโครงการหนึ่ง อย่างไรก็ดี รัฐบาลประยุทธ์ 1 ได้ทำการขยายความครอบคลุมมากขึ้นเป็นระยะ เช่น การเพิ่มอายุเด็กที่จะได้รับเงินอุดหนุน การเพิ่มเงินอุดหนุนรายเดือน การขยับรายได้เกณฑ์ขั้นต่ำขึ้น เป็นต้น
โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเข้าถึงประชาชนจำนวนมาก (14.5 ล้านคน) หากผู้มีบัตรส่วนใหญ่เป็นผู้มีรายได้จริงก็ถือว่าเป็นการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ค่อนข้างดี แต่ยังจำเป็นต้องคำนึงถึงปัญหาการตกหล่นคนจนตัวจริง ซึ่งรัฐบาลไม่ให้ความสนใจประเด็นนี้เท่าไร (นอกเหนือไปจากการรับจดทะเบียนเพิ่มในรอบ 3 ที่เน้นคนพิการและผู้ป่วยติดเตียง)
ในส่วนของสวัสดิการนั้น ผู้ถือบัตรส่วนใหญ่ใช้สิทธิ์ในการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป ซึ่งมีส่วนช่วยลดภาระทางการเงินที่เป็นรายจ่ายประจำ ทำให้ผู้มีบัตรวางแผนการใช้จ่ายระยะปานกลางได้ดีขึ้น ซึ่งอาจรวมถึงเพิ่มการลงทุนในทุนมนุษย์ที่จะส่งผลดีระยะยาว
อย่างไรก็ตาม ในหลายครั้งก็มีการโอนเงินแบบครั้งเดียวให้ผู้ถือบัตรในช่วงจังหวะที่อาจเอื้อให้เกิดความได้เปรียบทางการเมือง การขยายเครือข่ายร้านค้าผ่าน application ถุงเงินประชารัฐก็น่าจะลดข้อครหาการเอื้อประโยชน์เฉพาะเครือข่ายร้านค้าธงฟ้าได้ระดับหนึ่ง
ในภาพรวม การปรับปรุงรายละเอียดของโครงการที่ทำอย่างต่อเนื่องแสดงถึงความจริงจังของรัฐบาลในการใช้ช่องทางนี้ช่วยเหลือประชาชน
สวัสดิการประชาชนในเรื่องอื่นๆ ไม่โดดเด่นมากนัก ส่วนใหญ่เป็นมาตรการต่อเนื่องจากรัฐบาลก่อนหน้า เช่น การขับเคลื่อนของกองทุนการออมแห่งชาติ เป็นต้น
อีกประการที่เกี่ยวข้องทางอ้อมต่อการให้ความช่วยเหลือประชาชน คือ การที่รัฐบาลมีแนวทางรวมศูนย์อำนาจมากกว่าการส่งเสริมการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ทำให้ท้องถิ่นมีความสามารถในการดูแลประชาชนในพื้นที่น้อยกว่าที่ควรเมื่อเทียบกับสิ่งที่จะเป็นไปตามแนวโน้มปกติก่อนหน้า
มีหลายนโยบายด้านสวัสดิการที่ควรทำแต่รัฐบาลประยุทธ์ 1 ไม่ได้ทำหรือไม่โดดเด่น ที่สำคัญ คือ การเตรียมความพร้อมรับมือเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วของแรงงานอายุเกิน 40 และมีการศึกษาไม่เกินมัธยมต้นซึ่งคิดเป็นถึงร้อยละ 40 ของแรงงานไทยทั้งหมด เรื่องนี้ควรเป็นวาระแห่งชาติเนื่องจากคนจำนวนมากกลุ่มนี้มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นผู้ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง (left behind) และไม่สามารถยืนบนลำแข้งของตัวเองในอนาคตอันใกล้ คำมั่นแรกๆ ของรัฐบาลประยุทธ์ 1 ที่บอกว่าจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังจึงน่ากังขาว่าจะทำได้จริงเพียงใด การเตรียมความพร้อมนี้ควรทำทั้งในเชิงรุกและเชิงรับ เชิงรุก คือ การเร่งสร้าง learning platform ที่เหมาะกับประชากรกลุ่มนี้ไม่ว่าจะเป็นทักษะหรือช่องทางเข้าถึงทักษะที่เหมาะสม ส่วนเชิงรับคือการสร้างตาข่ายสังคม (safety net) ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการก้าวไม่ทันการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่สำหรับประชากรกลุ่มนี้…”
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี