การแถลงนโยบายของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาอดีตเผด็จการที่สืบทอดอำนาจในบริบทแห่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบถึงแม้จะผ่านการตรวจสอบของฝ่ายค้านซึ่งอาจกล่าวได้ว่าพลเอกประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลสามารถผ่านการตรวจสอบของพรรคฝ่ายค้านที่ทรงพลังอย่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคอนาคตใหม่ และพรรคร่วมฝ่ายค้านอย่างหืดขึ้นคอ การผ่านการตรวจสอบของกลุ่มพรรคฝ่ายค้านได้อย่างมหัศจรรย์ก็เพราะความสามารถส่วนตัวและความพยายามอดทนอดกลั้นอย่างมากซึ่งไม่ใช่ตัวตนของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นสำคัญ
แม้บางเวลาพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะหมดความอดทนอย่างที่สุดก็เบรกแตกไม่ได้เพราะในอดีตในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่มีอำนาจเต็มบวกกับการเป็นผู้บัญชาการทหารบกซึ่งปกครองประเทศในระบบเผด็จการมีดาบอาญาสิทธิ์อยู่ในมือเป็นเวลา5 ปีกว่า ทำให้เกิดความเคยชินในการชี้นิ้วสั่งแต่ฝ่ายเดียวโดยทุกคนต้องปฏิบัติตาม แต่เมื่อคลายอำนาจจากเผด็จการสู่การใช้อำนาจภายใต้ระบอบประชาธิปไตยแม้จะไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม เมื่อเข้าสู่โหมดการปกครองระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบซึ่งเป็นของแปลกใหม่ที่พลเอกประยุทธ์ไม่เคยประสบมาก่อนทำให้เกิดอารมณ์ที่เกิดจากความเคยชินก่อให้เกิดพฤติกรรมที่เคยชี้นิ้วสั่งอย่างเดียวโดยไม่ต้องคำนึงถึงกติกาใหม่ที่ไม่ถูกใจจึงแสดงอารมณ์หงุดหงิดบางทีก็ทะลุกลางปล้องโดยไม่คำนึงถึงกติกาที่ต้องปฏิบัติในรัฐสภา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้เป็นประธานที่ประชุมเป็นมือใหม่หัดขับและเป็นผู้เคยชินกับกติกาของที่ประชุมเดิม (ในที่ประชุมสภานิติบัญญัติ) จึงก่อให้เกิดความวุ่นวายในการประชุม ยกเว้นเมื่อประธานที่ประชุมตัวจริงที่เคยดำเนินการประชุมภายใต้กติกาประชาธิปไตยจึงสามารถแก้ปัญหาให้การประชุมเดินต่อไปได้อย่างราบรื่น
อย่างไรก็ดี ในการประชุมเพื่อให้รัฐบาลแถลงนโยบายไม่ใช่การเปิดอภิปราย แต่เกิดปัญหาความไม่เรียบร้อยเพราะการประชุมครั้งนี้เป็นการแถลงนโยบายของรัฐบาลในการบริหารประเทศหลังจากนี้ต่อไปแต่ฝ่ายค้านกลับกระทำหน้าที่คล้ายกับการประชุมงบประมาณหรือเปิดอภิปรายรัฐบาล ทำให้การประชุมไม่เป็นตามรูปแบบของการแถลงนโยบาย ผลก็คือ ทั้งตัวนายกรัฐมนตรีก็ดีประธานที่ประชุมก็ดี ต้องทำหน้าที่ค่อนข้างลำบากโดยเฉพาะตัวนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นอดีตนายทหารอาชีพและเป็นอดีตผู้เผด็จการต้องใช้ความอดทนอย่างสูงผิดกับคุณลักษณะของตัวตนที่แท้จริง
อย่างไรก็ดี เมื่อการดำเนินการผ่านไปอย่างราบรื่นพอสมควรแล้ว ต่อไปนี้ทั้งผู้ที่เป็นรัฐบาลและผู้ที่เป็นฝ่ายค้านคงจะดำเนินการไปตามภารกิจตามหลักการแห่งประชาธิปไตยตามกติกาที่กำหนดไว้ สิ่งที่น่ากังวลใจต่อจากนี้ไปก็คือ คณะรัฐบาล ประกอบด้วย พรรคการเมืองหลายพรรคซึ่งเมื่อทำการบริหารประเทศอาจประสบปัญหาในการบริหารโดยเฉพาะในกระทรวงที่ประกอบด้วยรัฐมนตรีมาจากหลายพรรค ซึ่งมีนโยบายและอุดมการณ์ต่างกันหรือมีผลประโยชน์ขัดกัน โดยเฉพาะระหว่างพรรคการเมืองและตัวบุคคลที่เป็นรัฐมนตรีที่มาจากต่างพรรค ถ้าเปรียบรัฐบาลภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เสมือนเรือเหล็กที่กำลังจะแล่นไปในมหาสมุทรเนื่องจากบุคลากรที่ทำหน้าที่ต่างๆ ในเรือมีที่มาจากที่ต่างๆกัน อาจเกิดปัญหาเรื่องการบริหารจัดการได้ โดยเฉพาะเรื่องผลประโยชน์ มุมมอง และนโยบายต่างกัน ถ้ากัปตันไม่สามารถจะบังคับบัญชาบรรดาลูกเรือได้และถ้ามีโจรสลัดอาศัยอยู่ในเรือ แม้จะเป็นเรือเหล็กก็อาจจะเกิดปัญหากับตัวเรือหรือเกิดการก่อจลาจลได้
สุดท้ายการที่จะทำให้เรือ คือ รัฐบาล แล่นสู่จุดหมายปลายทางได้ กัปตันเรือจะต้องอาศัยภาวะผู้นำแสดงศักยภาพในการควบคุมลูกเรือที่มาจากหลายพ่อพันธุ์แม่ให้ร่วมมือกันเป็นหนึ่งเดียวไปสู่จุดหมายโดยไม่ล่มกลางมหาสมุทร นั้นคือ การสร้างความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรืองให้กับประเทศไทยได้ตามความปรารถนาของประชาชนที่เคยตกอยู่ในภาวะที่ขาดความมั่นใจในผู้มีอำนาจในการจัดการให้สังคมเกิดความสงบปราศจากความวุ่นวายและเป็นสังคมประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่แท้จริง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี