วันอังคาร ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2568
สถานการณ์ความขัดแย้งในภูมิภาคต่างๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนชาวโลกเริ่มมีความรู้สึกตรงกันว่าความขัดแย้งในโลกปัจจุบันนี้กำลังเข้าใกล้ประตูของสงครามโลกครั้งที่สามเต็มทีแล้ว
สถานการณ์ความขัดแย้งในคาบสมุทรเกาหลีและในตะวันออกกลางได้สร้างความปั่นป่วนขึ้นทั่วโลกทั้งในทางการทหารและเศรษฐกิจการค้า จนเกิดความเดือดร้อนทั่วไปในทุกภูมิภาคของโลก แม้กระทั่งประเทศไทยของเราก็ไม่พ้นจากผลกระทบเหล่านั้น
ดังนั้นจึงถึงเวลาที่จะต้องทำความเข้าใจสถานการณ์ที่แท้จริงอันเป็นธาตุแท้แห่งปัญหาว่าเป็นประการใด เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงภยันตรายและความเสียหาย ตลอดจนหยุดยั้งความเดือดร้อนทั้งปวง เพราะหากยังหลงใหลไปกับกระแสความขัดแย้งเหล่านั้น จนกระทั่งมีการตั้งตนเป็นฝักฝ่ายกับฝ่ายที่มีความขัดแย้งมากขึ้นเท่าใด ความวิบัติฉิบหายก็จะบังเกิดขึ้นแก่ชาติบ้านเมืองมากขึ้นเท่านั้น
สถานการณ์อันปรากฏภายนอกก็คือการกดดันข่มขู่คุกคามด้วยแสนยานุภาพทางการทหาร ไม่ว่าการเคลื่อนแสนยานุภาพที่ขยับตัวหลายครั้งหลายหนในคาบสมุทรเกาหลีและทะเลจีนใต้ ในพื้นที่แดนต่อแดนระหว่างรัสเซียกับยุโรป ในตะวันออกกลางและในทวีปอเมริกาใต้ อันเป็นปรากฏการณ์ที่ชาวโลกได้รู้ได้เห็นได้สัมผัสกันดีอยู่แล้ว
และหลายครั้งที่เกิดปรากฏการณ์การกดดันข่มขู่ทางการทหารครั้งใหญ่หลายครั้งซึ่งมีการคาดหมายว่ากำลังจะเกิดเป็นสงคราม แต่ในที่สุดสงครามก็ไม่ได้เกิดขึ้น แต่สิ่งที่ตามมาเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
จึงสมควรที่จะนำปรากฏการณ์เหล่านั้นมาวางประกอบให้ได้เห็นเพื่อความเข้าใจถึงธาตุแท้แห่งปัญหาว่ามีที่ไปที่มาอย่างไร และการก่อสถานการณ์ความขัดแย้งนั้นเพื่ออะไร เพราะเมื่อเข้าใจธาตุแท้ของปัญหาแล้วก็จะสามารถใช้สติปัญญารับมือกับสถานการณ์นั้นได้โดยถูกต้อง
ภายใต้เนื้อที่อันจำกัด จะขอยกปรากฏการณ์เพียงสองพื้นที่ให้ได้ทราบกัน คือ
พื้นที่แรก คือคาบสมุทรเกาหลีที่มีการเคลื่อนแสนยานุภาพครั้งใหญ่ที่สุด โดยเคลื่อนกองเรือบรรทุกเครื่องบินถึงสามกองรบพร้อมกับเครื่องบินโจมตีจำนวนมาก และยังประกอบด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิดนิวเคลียร์อีกฝูงหนึ่ง แต่แล้วเหตุการณ์ก็เลิกราเสียดื้อๆ
ผลของการเคลื่อนแสนยานุภาพครั้งนี้ได้ทำให้ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน ตื่นตัวกลัวภัยจากการได้เห็นถึงการเตรียมการตั้งรับของเกาหลีเหนือ จีน รัสเซีย ซึ่งก็ได้เผยให้เห็นถึงแสนยานุภาพที่มิได้ด้อยกว่ากันเลย
เมื่อตื่นตัวกลัวภัยเช่นนี้ ทั้งญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน จึงจำเป็นต้องสั่งซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์รุ่นใหม่จำนวนมากเพื่อเตรียมการรับมือกับสิ่งที่เรียกว่า “ภัยคุกคาม” ของเกาหลีเหนือ จีน และรัสเซีย ทั้งๆ ที่ความจริงอันยาวนานได้ปรากฏชัดเจนแล้วว่าสามประเทศนี้ไม่เคยรุกรานยึดครองชาติใดเลย
จำนวนการสั่งซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์รุ่นใหม่จำนวนมหาศาลนับเป็นเงินหลายแสนดอลลาร์สหรัฐ ได้ถ่ายเทความมั่งคั่งและทรัพย์สินเงินทองของญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวันไปสู่บริษัทผู้ขายอาวุธครั้งใหญ่ที่สุดนับแต่สิ้นสงครามโลกครั้งที่สอง
ทำให้ทั้งสามประเทศนี้ต้องประสบกับวิกฤติทางเศรษฐกิจและงบประมาณ ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศและความเป็นอยู่ของประชาชน
และหางลมของความตื่นตัวกลัวภัยนี้ก็กระทบไปถึงสิงคโปร์และประเทศไทยด้วย สำหรับประเทศไทยนั้นฐานะการเงินไม่ได้มั่งคั่งเหมือนประเทศเหล่านั้น แต่ก็ไม่วายที่จะต้องสั่งซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์มากหลาย ซึ่งใครเล่าจะแน่ใจว่าสอดคล้องกับหลักนิยมและสถานการณ์การเปรียบเทียบศักยะสงครามที่คุกคามประเทศไทยหรือไม่เพียงใด
พื้นที่ที่สอง คือตะวันออกกลาง โดยการสร้างภาพลักษณ์ “ภัยคุกคาม” จากอิหร่าน ทั้งๆ ที่ผู้รู้ทั้งหลายก็รู้ดีอยู่แล้วว่าอิหร่านนั้นอยู่ภายใต้คำสั่งขององค์ปฐมอิหม่ามผู้ตั้งนิกายชีอะห์คือท่านอิหม่ามอาลี ที่ห้ามมิให้อิหร่านส่งกองทหารไปรุกรานชาติอื่น และในประวัติศาสตร์อันยาวนานก็ไม่เคยปรากฏว่าอิหร่านส่งกองทัพเข้าไปรุกรานยึดครองชาติใดเลย นอกจากการสนับสนุนในการพิทักษ์ดินแดนอิสลามตามหน้าที่ของมุสลิมทั้งหลาย ตามโองการอันศักดิ์สิทธิ์แห่งพระคัมภีร์อัลกุรอานเท่านั้น
อิหร่านถูกสร้างภาพลักษณ์โดยสื่อสร้างสงครามที่ตอบสนองต่อการคุกคามยึดครองชาติอื่นให้กลายเป็นยักษ์มารและเป็นซาตาน ทั้งๆ ที่ซาตานตัวจริงนั้นหาใช่อิหร่านไม่
มีการเคลื่อนแสนยานุภาพทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศ เพื่อกดดันคุกคามอิหร่านถึงประตูบ้าน จนกระทั่งมีการจัดวางกองทหารเรียงรายตลอดแนวชายแดนอิหร่าน จนเกิดความรู้สึกทั่วไปว่ากำลังจะเกิดสงครามขึ้นในตะวันออกกลางโดยอิหร่านเป็นภัยคุกคาม
ขัดกับความเป็นจริงที่ทั่วโลกเห็นอยู่เต็มตาว่าใครรุกรานอิรัก ซีเรีย ลิเบีย ปาเลสไตน์ และยึดดินแดนของชาติเหล่านั้นไว้โดยไม่แยแสต่อสหประชาชาติและกฎหมายระหว่างประเทศ
ทำให้เกิดความตื่นตัวกลัวภัยจากซาตานที่สร้างขึ้น และในที่สุดผู้ตื่นตัวกลัวภัยก็ต้องซื้อหาอาวุธหรือถูกบังคับให้ซื้อหาอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมหาศาล
ซาอุดีอาระเบีย ยูเออี กาตาร์ บาห์เรน โอมาน ได้จัดซื้อจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ครั้งใหญ่ที่สุด สิริรวมกันแล้วเกินกว่า 400,000 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐไปแล้ว
เมื่อรวมกับยอดขายอาวุธทั้งสองภูมิภาคนี้รวมทั้งบางประเทศในยุโรปจึงทำให้ยอดการขายอาวุธยุทโธปกรณ์รวมกันนับล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ นับเป็นยอดการซื้อขายอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมหาศาลที่สุด มากกว่าปริมาณการซื้อขายในรอบ 20 ปีที่ผ่านมารวมกันด้วยซ้ำไป
ปรากฏการณ์ความขัดแย้งที่ภายนอกดูเหมือนว่าจะเกิดเป็นสงครามโลกครั้งที่สาม แต่ธาตุแท้ก็คือการขายอาวุธยุทโธปกรณ์ไม่ใช่หรือ?

โค่นมือ2! 'ไหม'ทะยานชิงเหรียญทองเทนนิส
เจ๋ง ดอกจิก ป่วยเส้นเลือดสมอง! ศาลเลื่อนอ่านฎีกาคดี นปช.ก่อการร้าย ไปเป็น 20 ม.ค.69
แพทย์แผนจีนไม่ใช่อภินิหาร แต่คือวิทยาศาสตร์ที่บันทึกมานับพันปี!?
อนุทิน ตรวจสอบแล้ว รถขนน้ำมันช่องเม็กไปลาว ไม่เลี้ยวเขมร
อินฟลูฯเขมรโดนแล้ว หลังโพสต์ทหารกัมพูชาป่วยพิษสุรา เจอข้อหาภัยต่อความมั่นคงของชาติ

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี