ปัจจุบัน ได้เกิดมีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปัจจุบัน มีความเป็นประชาธิปไตยหรือไม่? บ้างก็เรียกระบบปัจจุบันว่า “เผด็จการประชาธิปไตย” เลียนแบบหรือ/ล้อเลียน สังคมคอมมิวนิสต์ที่มักเรียกระบบการเมือง-การปกครองของตนเองว่า “ประชาธิปไตยรวมศูนย์”
อาจเป็นจังหวะที่ดีสำหรับปัญญาชนไทยที่จะหยุดคิดว่าระบบการเมือง-การปกครองที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสังคมไทยขณะนี้ควรจะเป็นเช่นไร จำได้ว่าได้มีการถกเถียงกันมากอย่างจริงจังในช่วงทศวรรษที่จอมพลถนอม กิตติขจร ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีช่วงต้น (พ.ศ. 2504-2512) ปัจจุบันแม้ว่าจะไม่ได้มีการถกเถียงกันอย่างจริงจังว่าควรจะจัดระบบการเมืองของเราอย่างไร แต่ก็เริ่มมีแนวคิดแบ่งออกเป็นขั้ว “ขั้วฝ่ายขวา” (ผู้เขียนเรียกเอง) ที่สนับสนุนรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน และ “ขั้วฝ่ายซ้าย” ที่ต้องการจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ แบบสายกลาง จนกระทั่งถึงสายสุดขั้ว
ของบางพรรค
แต่ถึงแม้จะได้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในลักษณะหนึ่งลักษณะใด สังคมไทยก็ยังยากที่จะมีความสงบสุข เพราะความคิดเห็นและข้อสมมุติฐานที่แตกต่างกัน เหตุเพราะสถานศึกษาไทยโดยเฉพาะระดับอุดมศึกษา ไม่มีการสอนหลักรัฐธรรมนูญเปรียบเทียบ และการเมืองเปรียบเทียบ อีกทั้งไม่เคยสนใจจะศึกษาความเป็นมาของทฤษฎี หรือหลักการปกครองของประเทศ ที่เราคิดว่าก้าวหน้ากว่าประเทศไทย เราอาจจะทราบสถานะปัจจุบันของเขา (อังกฤษ ฝรั่งเศส อเมริกา ฯลฯ) แต่เราไม่รู้ว่าก่อนหน้า เมื่อ 200 300 ปีมาแล้ว ประเทศเหล่านี้ปกครองกันอย่างไร เราจึงมีข้อสรุปที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงและจนทุกวันนี้ ก็มีเพียงไม่กี่คนที่จะทราบว่า “ประชาธิปไตยแบบอังกฤษ” ไม่ได้เหมือนกับทฤษฎีของนักคิดสุดโต่งทางการเมืองฝันเอาไว้
หลักการที่สำคัญของรัฐธรรมนูญอังกฤษคือหลัก “อำนาจอธิปไตยของรัฐสภา” ดังคำกล่าวของ ไดซี (นักกฎหมายที่มีชื่อเสียงของอังกฤษในศตวรรษก่อน) ที่ว่า รัฐสภา เมื่อประกอบด้วย องค์สาม
คือ พระมหากษัตริย์ สภาขุนนาง และสภาผู้แทนราษฎร สามารถออกกฎหมายเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของอาณาประชาราษฎร์ได้ทุกประการ หรือกล่าวในสำนวนเดิมของไดซี รัฐสภา ซึ่งประกอบด้วย องค์สามดังกล่าว สามารถทำอะไรได้ทุกอย่าง ยกเว้นเปลี่ยนเพศชาย เป็น เพศหญิง (สมัยนั้น-แต่คงไม่ใช่สมัยนี้) นัยหนึ่ง “อำนาจอธิปไตย” (ทางกฎหมาย) เป็นอำนาจของรัฐสภา ซึ่งจะต้องประกอบด้วยองค์สาม หรือตามสำนวนเดิมของไดซี “เมื่อพระมหากษัตริย์ประทับอยู่ในรัฐสภา ซึ่งประกอบด้วยสภาขุนนาง และสภาผู้แทนราษฎร นั่นคือที่สิงสถิตของอำนาจอธิปไตย แต่เป็นอำนาจอธิปไตยทางกฎหมาย
แตกต่างจากแนวคิดของ ฌาง ฌากส์ รุสโซนักคิดชาวสวิส ที่ใช้ชีวิตในฝรั่งเศส จนผู้คนคิดว่าเป็นชาวฝรั่งเศส กลับมองประเด็นเรื่อง “อำนาจอธิปไตย” ว่ามีกำเนิดจากสัญญาประชาคม และสะท้อน “เจตนารมณ์ทั่วไปของประชมคมทั้งหมด” - ซึ่งในภาษาอังกฤษ ใช้คำว่า “General Will” เจตนารมณ์ดังกล่าวนี้ รัฐสภาหรือสภาผู้แทนราษฎร ก็พูดแทนมิได้ แต่จะต้องมาจากเจตนารมณ์ร่วมของสมาชิกในรัฐนั้นๆ ซึ่งจะมีคุณลักษณะในเชิงศีลธรรม-จรรยา หรือมโนธรรมสำนึกของประชาคม สภาผู้แทนราษฎร ก็ไม่สามารถจะเป็นตัวแทนเจตนารมณ์ร่วมของสมาชิกทั้งหมดได้
แนวคิดของรุสโซ จะว่าถูก ก็ถูก แต่ในแง่ปฏิบัติคงจะมีปัญหาเรื่องการตีความ ขณะที่แนวคิดของอังกฤษ จะไม่ก้าวล่วงไปสู่แนวคิดที่เป็นนามธรรมเช่นนั้น แต่จะจำกัด “อำนาจอธิปไตย” ไว้ในขอบเขตของกฎหมาย ที่จะกำเนิดจากรัฐสภา ซึ่งประกอบด้วย องค์สามดังกล่าว ทั้งสถาบันพระมหากษัตริย์, สภาขุนนาง และสภาผู้แทนราษฎร
ในขอบเขตดังกล่าว ระบบรัฐสภาของอังกฤษ จึงเป็นระบบที่ผสมผสานระหว่างสถาบันกษัตริย์ สถาบันขุนนาง และประชาชน ที่นักปราชญ์แต่โบราณ เช่น เพลโต และอาริสโตเติ้ล จะเรียกว่า ระบบการเมืองการปกครองที่ผสมผสาน-ระหว่างระบบกษัตริย์ ระบบอภิชนาธิปไตย และประชาธิปไตย และระบบดังกล่าวยั่งยืนมาได้หลายร้อยปี รวมทั้งสร้างทั้งความมั่งคั่ง และความเจริญทางวัตถุ-วัฒนธรรม และอำนาจอันยิ่งใหญ่ทั่วโลก ในศตวรรษที่ผ่านมา
สังคมไทย หากเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงระบบการเมือง การปกครอง ใน พ.ศ. 2475 ได้ศึกษาระบบอังกฤษ และนำสิ่งที่ควรเลียนแบบเพื่อให้เหมาะกับระบบของเราที่มีสถาบันกษัตริย์อยู่แล้ว เราคงเจริญก้าวหน้าทางการเมือง รวมทั้งทางเศรษฐกิจ ไม่น้อยหน้ากว่าประเทศอื่นๆ ในเอเชีย น่าเสียดายที่นักศึกษาผู้จบจากประเทศยุโรปตะวันตกสมัยก่อน ไม่ได้ศึกษาเปรียบเทียบระบบการเมือง การปกครองของอังกฤษให้ถ่องแท้ หรือรู้ซึ้งถึงข้อบกพร่องของระบบการเมืองแบบฝรั่งเศส ซึ่งอาจเหมาะกับสาธารณรัฐนิยม แต่ไม่เหมาะสมกับราชอาณาจักร เช่น ราชอาณาจักรไทย ซึ่งควรใช้แบบของอังกฤษ จะเหมาะสมกว่า
สถาบันกษัตริย์นั้น ตามแนวคิดของเบชอท (Baghot) นักกฎหมายที่มีชื่อเสียงของอังกฤษ เป็นสถาบันที่จะเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมที่ดีงามของอังกฤษ เป็นสถาบันทางการเมือง-ที่ค้ำจุนสังคมอังกฤษให้เป็นสังคมแห่งเกียรติยศ สังคมแห่งคุณธรรม ที่รักษาขนบธรรมเนียมที่ดีของอังกฤษ โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นตัวแทนและสัญลักษณ์ของความต่อเนื่องทางวัฒนธรรมของชนชาติอังกฤษ ตลอดจนความรุ่งโรจน์จากอดีตถึงปัจจุบัน องค์พระมหากษัตริย์ ทรงมีภารกิจสำคัญทางการเมือง เช่น ทรงเป็นที่ปรึกษาที่ท่านนายกรัฐมนตรีจะเข้าเฝ้าและขอคำปรึกษาในวาระสำคัญต่างๆ รวมทั้งการเสนอแต่งตั้ง “นายกรัฐมนตรี”
ฉะนั้น หากผู้นำในสังคมไทยมีความเข้าใจในปรัชญา แนวคิด เบื้องหลังระบบการเมืองการปกครองแบบต่างๆ ก็จะทราบว่าเราคนไทยโชคดีที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องจากสมัยโบราณถึงปัจจุบัน ซึ่งแสดงถึงความเป็นปึกแผ่น และความเป็นอารยชนของสังคมไทย
ภารกิจที่สังคมไทยควรใส่ใจคือ แสวงหาวิธีการ – กระบวนการคัดเลือก ผู้ที่ควรจะมาดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิก เพื่อให้ได้ผู้ทรงคุณวุฒิ - คุณธรรมที่แท้จริง ตลอดจนวิธีการ - กระบวนการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2541 ดูจะเหมาะสม
ดร.วิชัย ตันศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี