หลังเข้ารับตำแหน่งประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ถูกจับตามองและ “ตีความ” ไปในหลายๆ ประการ เช่น
1) เป็นการเผยตัวอย่างชัดๆ ของ “พรรคทหาร”
2) ลงมาควบคุมก๊กก๊วนต่างๆ ให้เป็นระเบียบ
3) เป็นข้อต่อที่ชัดเจนว่า ระหว่าง สส.ก๊กต่างๆกับ “ผู้มีอำนาจ” ต้อง “เจรจาตรง” กับใคร
4) หา “อำนาจ” มาเติมให้แก่ตัวเอง หลังอำนาจและบทบาทในรัฐบาลถูกจำกัด จึงมาเป็น “ผู้มีบารมี” ในพรรค หรือในกลุ่ม สส. เสียเลย จากเดิมที่ก็ถูกเล่าลือว่าชักใยอยู่หลังท่านอยู่แล้ว
วันที่ 24 สิงหาคม 2562 นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาดโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีพล.อ.ประวิตรวงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เปิดตัวเป็นประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)ว่า แม้ช่วงเลือกตั้งพรรคพลังประชารัฐกับทหารจะลับลวงพรางกันไปบ้าง แต่การเปิดตัวพล.อ.ประวิตร ก็เป็นการตอกย้ำให้เห็นภาพของพรรคพลังประชารัฐเป็นเนื้อเดียวกันกับ คสช.มากขึ้น ถือว่า ไม่เหนือความคาดหมาย ในไม่ช้าอาจจะได้เห็นพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดตัวเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แต่อาจต้องรอให้ฝ่ามรสุมเรื่องการถวายสัตย์ปฏิญาณ และปัญหาอุปสรรคที่ถาโถมต่างๆ ให้ได้เสียก่อน
นายอนุสรณ์กล่าวว่า ถึงเวลาที่ พล.อ.ประวิตร จะได้สัมผัสชีวิตการเมือง แต่แค่เจอ 2 โจทย์แรก พล.อ.ประวิตร ก็อาจไม่ได้เป็นผู้มีบารมีตัวจริง ทั้งการขอให้ 5 รัฐมนตรีของพรรค ลาออกจากสส.บัญชีรายชื่อ เพื่อแก้ปัญหารัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ ไม่ให้รัฐมนตรีที่เป็น สส. ต้องมาร่วมโหวต กรณีมีส่วนได้เสียจะทำให้หมดสิทธิลงมติ แต่สุดท้าย 5 รัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ ก็ไม่ยอมลาออก และยังออกมาแสดงความเห็นต่อต้านพล.อ.ประวิตร ในขณะที่รัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์กับภูมิใจไทยเป็นพรรคร่วมเขายังยอมลาออกจาก สส.บัญชีรายชื่อ เพื่อช่วยแก้ปัญหารัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ รวมถึงการที่พล.อ.ประวิตร ออกมาเตือนนายสิระเจนจาคะ สส.กทม. ไม่ให้แสดงพฤติกรรม “กร่าง” ใส่ตำรวจ ก็ไม่มีผลแต่อย่างใด เพราะนายสิระก็ยังคงแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมนั้นอย่างต่อเนื่อง
“แค่ 2 กรณีนี้ก็พอจะเป็นตัวชี้วัดบารมีของพล.อ.ประวิตรในพรรคพลังประชารัฐได้แล้วว่ามีมากน้อยแค่ไหน นักการเมืองในพรรคพลังประชารัฐเชื่อฟังพล.อ.ประวิตรเหมือนกับตอนเป็น คสช.หรือไม่ ไม่รู้ว่า พล.อ.ประวิตรจะเข้ามาเป็นนักการเมืองให้เสียคนตอนแก่ทำไม”
ประเด็น “คุม 5 รัฐมนตรีไม่ได้” ที่ถูกจับมาเป็น “สัญญาณแรก” ของ “การบกพร่องบารมี” ของพล.อ.ประวิตรนี้ สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 20 ส.ค. รายงานข่าวจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แจ้งว่า ในที่ประชุมสส.พรรคฯ ซึ่งมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมด้วยนั้น พล.อ.ประวิตร กล่าวในที่ประชุมถึงรัฐมนตรีที่เป็นสส.จำนวน 5 คน ประกอบด้วย นายณัฏฐพล
ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม และ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ว่า ให้พิจารณาตัวเองว่าการดำรงสองตำแหน่ง จะเป็นอุปสรรคในการทำงานหรือไม่ เพราะอยากให้สส.ทำหน้าที่ของสส. รัฐมนตรีทำหน้าที่ของรัฐมนตรีให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด “อย่าคิดว่าผมไล่ ผมไม่ได้ตำหนิ แต่ให้เอาไปคิดเองดู”
แต่วันรุ่งขึ้น 21 ส.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร กล่าวถึงกระแสข่าวที่ว่า ได้พูดในที่ประชุม สส.พรรค กดดันให้รัฐมนตรี 5 คนของพรรคพิจารณาลาออกจากการเป็น สส.เพื่อแก้ปัญหารัฐบาลเสียงปริ่มน้ำว่า ตนไม่ได้พูดอย่างนั้น แค่บอกว่าเมื่อเสียงมันปริ่มน้ำ แล้วถ้ารัฐมนตรีมีงานเยอะก็ลองพิจารณากันดูว่า จำเป็นหรือไม่ที่รัฐมนตรีจะลาออกจากการเป็น สส. เพื่อให้คนที่เหลือเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ในสภาแทน ก็แล้วแต่เขา ให้ตัดสินใจเอง นอกจากนี้ ตนยังได้เน้นย้ำให้ สส.มีความเป็นหนึ่งเดียว รักใคร่กันทุกพรรค หลังจากนี้ตนถือเป็นนักการเมืองเต็มตัวแล้วตามหลักการ
เมื่อถามว่าถ้าเขาไม่ลาออกจะทำอย่างไร พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า “ก็ผมไม่ได้ให้ลาออก ผมบอกว่าลองดูดิ แต่คนในพรรคก็บอกว่ารัฐมนตรีก็มาทุกงาน ทุกนัดที่มีการประชุมสภาและลงคะแนน และส่วนตัวไม่มีความเห็นว่าควรลาออกหรือไม่ เพียงแต่ให้ข้อสังเกตไปเท่านั้น”
เมื่อถามว่าแม้เป็นรัฐมนตรี แต่ไปประชุมสภาได้ ก็จะสามารถอยู่ในตำแหน่งได้ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ก็อยู่ในตำแหน่งได้ ซึ่งก็แล้วแต่เขา
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม และ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรค พปชร.ให้ 5 รัฐมนตรีที่เป็น สส.บัญชีรายชื่อพิจารณาลาออกจาก สส.เพื่อให้สามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพ ว่าถ้ายังเป็น สส.อยู่คิดว่าน่าจะได้งานมากกว่า เพราะหากห่าง สส.ไป ปัญหาหรือการประสานต่างๆ อาจจะติดขัด และรัฐมนตรีที่เป็น สส.ทั้ง 5 คนก็จะต้องเป็นเหมือนกัน คงยังไม่ถึงขั้นลาออก สส.
“ถ้าเรายังเป็นอยู่ทั้งสองอย่างจะได้งานมากกว่ามั้ย หรือมีปัญหากับการปฏิบัติงานก็ต้องพิจารณากัน แต่ที่ดูๆ แล้วคิดว่าที่เป็นอยู่นี้จะสามารถทำงานในภาพรวมทั้งหมดได้ดีกว่า โดยได้พูดคุยกันดูแล้วเรื่องแบบนี้ไม่มีปัญหาอะไรหรอก เพราะทั้ง 5 คนไม่ได้มีปัญหาอะไร และมันจะได้เรื่องการประสานงานกับ สส.และรัฐบาล รวมถึงกระทรวงต่างๆ ได้ดีกว่า เวลารัฐมนตรีเข้าไปประชุมสภา สส.เขาจะคึกคัก บางทีเขาก็จะฝากเรื่องงาน ปรึกษาหารืออะไรต่างๆ และความที่ สส.ใหม่มีเข้ามาเยอะก็ไม่ได้คุ้ยเคยรู้จักกัน จะได้เรื่องความสัมพันธ์และการประสานงาน ซึ่งมีความสำคัญสำหรับคนหมู่มาก ถ้ามี สส.ใหม่ทั้งหมด แล้วรัฐมนตรีกับ สส.ไม่รู้จักกันการทำงานสองสามอย่างในเวลาเดียวกันจะทำไม่ได้” นายสมศักดิ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า เบื้องต้น ทั้ง 5 คนเห็นตรงกันแล้วใช่หรือไม่ว่าไม่ต้องลาออกจาก สส. นายสมศักดิ์กล่าวว่า คล้ายๆ กัน แต่ตนคงตอบแทนคนอื่นไม่ได้ ในความคิดดูแล้วว่าการไม่ลาออก สส.จะได้งานมากกว่า แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร
เมื่อถามว่า มั่นใจหรือไม่ว่าการทำงานใน 2 สถานะจะไม่สะดุด นายสมศักดิ์กล่าวว่า ที่ทำมาก็ทำได้ดี มติอะไรต่างๆ ก็ไม่ได้หลุด แต่ต่อไปไม่แน่ใจ แล้วแต่สถานการณ์ เมื่อถามว่าได้แจ้งความเห็นดังกล่าวต่อ พล.อ.ประวิตร แล้วหรือยัง นายสมศักดิ์กล่าวว่า ยังไม่ได้แจ้ง เราก็ประเมินตัวเราก่อนว่าเมื่อพบท่านแล้วจะเรียนท่านว่าอย่างไร เพราะท่านไม่ได้บอกให้ลาออก แค่บอกให้ดูเอาว่าอะไรที่จะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมได้มากกว่าก็เอาตามนั้น
นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะ สส. บัญชีรายชื่อ พรรคชาติไทยพัฒนา ให้สัมภาษณ์ถึงข้อสังเกตที่รัฐมนตรีซึ่งมีสถานะเป็นสส.ด้วย ควรจะลาออกจากตำแหน่งเพื่อป้องกันปัญหาเสียงปริ่มน้ำในสภาฯหรือไม่ว่า ยังไม่ได้พูดคุยกันในพรรคว่า จะต้องลาออกหรือไม่ และจนถึงทุกวันนี้การทำหน้าที่ของตนในสภาฯก็ยังไม่เคยขาดประชุม และในวันประชุมสภาฯก็เปลี่ยนจากตรวจราชการข้างนอกมาใช้ห้องทำงานที่สภาฯเซ็นเอกสาร ยกขบวนกันไปประชุมที่สภาฯ เมื่อถึงเวลาก็เข้าห้องประชุมไปลงมติ แต่ในอนาคตหากมีความจำเป็นก็ต้องมาดูอีกครั้ง
ผู้สื่อข่าวถามมั่นใจหรือไม่ว่า การทำงานสองสถานะจะรักษาเรื่องเสียงของรัฐบาลไปได้ตลอดนายเทวัญ กล่าวว่าวันนี้ยังทำหน้าที่รัฐมนตรีและ สส. เต็มที่ และตอนนี้ยังแข็งแรง ยังไหวอยู่ เมื่อถามว่า จะทำไหวถึง 4 ปีหรือไม่นายเทวัญ กล่าวว่า “ถ้ารัฐบาลอยู่ไหว ผมก็ไหว”
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอี ในฐานะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ตอบข้อซักถามที่ว่ารัฐมนตรีควรลาออกจาก สส.หรือไม่ โดยระบุว่า ส่วนตัวไม่ติดขัดว่าจะต้องลาออกหรือไม่ลาออกจาก สส.แต่รัฐมนตรีที่เป็น สส.บัญชีรายชื่อทั้ง 5 คน ของพรรค พปชร.ได้ตกลงกันแล้วว่าไม่จำเป็นต้องลาออก เพราะมั่นใจจะสามารถทำงานควบคู่กันไปได้ ทั้งงานรัฐมนตรีและงานในฝ่ายนิติบัญญัติ อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา ทุกครั้งที่มีการประชุมสภาและทุกครั้งที่มีการโหวตในสภา รัฐมนตรีที่เป็น สส.ของพรรค พปชร.ต่างก็อยู่กันครบ จึงจะเห็นว่าทุกคนสามารถบริหารจัดการเวลาได้ เพียงแต่จะต้องทำงานหนักขึ้น ดังนั้น การโหวตข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่ถูกมองว่าฝ่ายรัฐบาลโหวตแพ้นั้น จะต้องไปดูว่าแพ้เพราะอะไร แต่ยืนยันไม่ใช่เพราะรัฐมนตรี 5 คนของพรรค พปชร.ไม่ลาออกแน่นอน
เมื่อถามว่า มีรายงานข่าวว่า พล.อ.ประวิตร พูดในที่ประชุม สส.ของพรรค พปชร.ให้รัฐมนตรีทั้ง 5 คน พิจารณาลาออก นายพุทธิพงษ์กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร เพียงถามถึงปัญหาที่เกิดขึ้น โดยระบุเพียงว่าผู้ที่เป็นรัฐมนตรีและควบ สส.ด้วยนั้น จะต้องรับผิดชอบในการทำงานทั้ง 2 ส่วนด้วย ขณะเดียวกัน สส.พรรค พปชร.ได้ลุกขึ้นอธิบาย ว่าที่ผ่านมารัฐมนตรีของพรรค พปชร.มาประชุมสภาครบทุกครั้งซึ่ง พล.อ.ประวิตร ไม่ได้สั่งให้ลาออกแต่อย่างใด
ส่วนกรณี นายสิระ เจนจาคะ ที่อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด ตั้งเป็นข้อสังเกตนั้น ก็ชัดเจนว่า นายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยบอกกับสื่อว่า เดี๋ยวให้ พล.อ.ประวิตร คุย นายสิระก็ปิดจ๊อบ “กร่างภูเก็ต” ด้วยการไปยื่นต่อดีเอสไอให้รับกรณีที่ดินภูเก็ตให้เป็นคดีพิเศษ (ทั้งๆ ที่ไม่เข้าองค์ประกอบ แต่ความผิดหลงทางระเบียบ ขั้นตอน และข้อกฎหมาย ก็ถือเป็นเรื่องปกติของคนคนนี้มิใช่หรือ คนที่เคยบอกว่า “อะไรที่เหนือกว่าผลประโยชน์ของประเทศ ไม่มีอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นระเบียบพรรค หรืออะไรก็ตาม ที่กีดกันเราไม่ให้รักษาผลประโยชน์ของประเทศ”) จากนั้นนายสิระก็กลับเข้าสู่โหมดสงบเสงี่ยม เหมือนก่อนหน้านี้ที่เป็นออกมาพูดเรื่อง “ปลด สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” ออกจากเลขาฯ พรรค และไม่ให้เป็นรัฐมนตรี
ก็ความที่พรรคนี้ “ร้อยพ่อพันแม่” ทุกคนอยาก“มีความสำคัญ” อยาก “มีโอกาส” แสดงตน และแสดงผลงาน การควบคุมให้เป็นแถวเป็นแนวดุจทหารก็ย่อมยากหน่อย แถมภาวะคลอนแคลนปริ่มน้ำของรัฐบาล ทำให้ “นักการเมือง” พวกนี้กล้า “ขย่ม” เพื่อสร้างอำนาจต่อรอง
ก็ต้องดูว่า “บิ๊กป้อม” จะสามารถจัดสรรผลประโยชน์ให้แก่กลุ่มก๊วนต่างๆ ได้ลงตัว จนสงบและเป็นระเบียบได้หรือไม่ นี่เป็นงานที่ท้าทายอย่างยิ่ง!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี