นโยบายสังคมนิยมประชาธิปไตยนั้นหมายความว่าการจัดระเบียบในการปกครองประเทศด้วยการพัฒนาประชาชนโดยยึดหลักการเสมอภาค เสรีภาพ และภราดรภาพในทางปฏิบัติ ได้แก่ การจัดระบบที่ทำให้ประชาชนแต่ละคนได้พัฒนาสมรรถภาพของตนอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งเสริมสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประชาชน ส่งเสริมเสรีภาพที่จะนำไปสู่ความเท่าเทียมกันของประชาชนโดยปราศจากชนชั้นสร้างกติกาที่ควบคุมมิให้ระบอบทุนนิยมเข้าครอบคลุมสังคมในทางเศรษฐกิจ ส่วนทางการเมืองนั้นประชาชนทุกคนจะต้องเข้าใจและรักษาสิทธิของตนและปฏิบัติหน้าที่ตามกติกาโดยมิยินยอมให้ผู้หนึ่งผู้ใดละเมิดสิทธิดังกล่าวในเวลาเดียวกันก็ต้องร่วมกันต่อสู้เพื่อให้ทุกคนในสังคมมีความเท่าเทียมกัน
ความสำเร็จของประเทศที่ใช้ระบบสังคมนิยมประชาธิปไตยจะเกิดขึ้นได้โดยมิให้กลุ่มผลประโยชน์กลุ่มใดไม่ว่ากลุ่มข้าราชการทั้งทหารและพลเรือน กลุ่มนายทุน กลุ่มผู้ใช้แรงงาน หรือกลุ่มผลประโยชน์อื่นได้มีอำนาจเหนือกันและกัน การกำหนดกติกาที่จะทำให้เกิดความเสมอภาคกัน ได้แก่ การควบคุมมิให้กลุ่มผู้ถืออาวุธ คือ ทหารมิให้ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองการปกครอง กลุ่มเศรษฐกิจควบคุมโดยจัดระบบภาษีอากรที่สร้างความเท่าเทียมกันในสังคมโดยนำนโยบาย “เฉลี่ยสุข” มาใช้ในสังคมควบคู่กับการนำคนที่ช่วยตนเองไม่ได้ทางเศรษฐกิจมาพัฒนา แทนที่จะใช้ระบบ“ประชานิยม” เพราะระบบประชานิยมแทนที่จะช่วยให้ผู้ที่ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจช่วยตัวเองได้กลับทำให้เขาเหล่านั้นกลายจากคนจน เป็น“ยาจก” หรือ “ขอทาน” ดังสุภาษิตที่ว่า “ต้องให้เหยื่อกับเบ็ดและสอนให้ตกปลา แทนที่จะให้แต่ปลาอย่างเดียว” เพราะจะทำให้คนเหล่านั้นไม่รู้จักวิธีการหาปลาเอง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือรัฐในฐานะคนกลางที่จะจัดสรรความอยู่ดีกินดีให้กับประชาชนจะต้องสร้างกติกาที่ทำให้ประชาชนลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจให้มีความแตกต่างกันไม่มากนัก
จากแนวทางที่กล่าวมาข้างต้นนี้จะเห็นได้ว่านโยบายที่รัฐบาลปัจจุบันมิได้ดำเนินการตามระบอบสังคมนิยมประชาธิปไตยในเรื่องการช่วยเหลือคนยากจนของประเทศให้ช่วยตัวเอง แต่กลับใช้นโยบาย “ประชานิยม” ที่รัฐบาลก่อนปฏิวัติที่นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ขณะเป็นผู้บัญชาการทหารบก นำทหารเข้ายึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลที่ใช้นโยบาย “ประชานิยม” แต่เมื่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ที่ทำการปกครองระบอบเผด็จการ และปัจจุบันได้อำนาจปกครองตามระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบ กลับใช้นโยบาย “ประชานิยม”
เช่นเดียวกับรัฐบาลที่ตัวเองปฏิวัติซึ่งหมายความว่ารัฐบาลภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ ที่นำเอาวิธีการที่อดีตผู้บริหารชุดที่ตัวเองปฏิวัติทั้งวิธีการและตัวบุคคลมาเป็นผู้ร่วมรัฐบาลเกือบทั้งหมดและใช้นโยบายประชานิยมจึงเป็นที่สงสัยของประชาชนผู้ติดตามการบริหารประหลาดใจว่าการบริหารของรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะนำประเทศชาติและประชาชนฝ่ามรสุมทางเศรษฐกิจและการเมือง ทำให้พ้นความยากจนสำเร็จดังที่สังคมไทยปรารถนาโดยใช้วิธีการประชานิยมเพราะเป็นความจำเป็นในการปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น
หลังจากนั้นควรนำนโยบายสังคมนิยมประชาธิปไตยมาเป็นนโยบายบริหารประเทศด้วยการพัฒนาให้กลุ่มคนยากจนที่ด้วยการให้ความรู้ในการประกอบอาชีพตามสภาพท้องถิ่นเป็นขั้นแรก ขั้นที่สอง สนับสนุนส่งเสริมด้วยการฝึกอบรมด้านการตลาด หลังจากนั้นสนับสนุนให้ประกอบอาชีพพร้อมสนับสนุนด้านการลงทุน รวมทั้งให้ความรู้ในการบริหารการเงินเพื่อดำรงชีวิตที่ยั่งยืน ถ้ารัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พัฒนาประชาชนตามที่กล่าวมานี้ซึ่งเป็นหลักการของอุดมการณ์สังคมนิยมประชาธิปไตย สภาพเศรษฐกิจของสังคมไทยจะเปลี่ยนจาก “รวยกระจุก จนกระจาย” จะทำให้เป็นสังคมที่ประกอบด้วย ชนชั้นกลางทางเศรษฐกิจเป็นส่วนใหญ่ นั่นหมายความว่า รัฐบาลประสบความสำเร็จ เฉกเช่น นายลี กวน ยู อดีตประธานาธิบดีแห่งประเทศสิงคโปร์ ที่พัฒนาประเทศจากความยากจนสู่ความรุ่งโรจน์สำเร็จมาจนทุกวันนี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี