คดีที่ไปถึงศาลยุติธรรมแล้ว สังคมไม่กังขา แต่คดีที่ไปไม่ถึงศาลต่างหาก ที่ชวนสงสัย
ในบรรดาคดีทุจริตที่มีเงื่อนปมลึกลับซับซ้อน แยบยล และเกี่ยวพันกับผู้มีอำนาจเงินและอำนาจศรัทธาของผู้คนมากที่สุด คงจะไม่พ้นกลุ่มคดีโกงสหกรณ์ฯคลองจั่น แล้วมีการผ่องถ่ายเงิน ฟอกเงิน แปรสภาพไปเป็นทรัพย์สินชนิดต่างๆ โดยที่บางรายการนั้น ถูกพบว่าไหลเข้าไปเป็นทรัพย์สินอยู่ในเครือข่ายอาณาจักรของวัดพระธรรมกาย
เงินที่นายศุภชัยและพวกโกงไปจากชาวสหกรณ์ฯคลองจั่น ไม่ใช่แค่เช็คบริจาคตรงไปที่ธัมมชโยและวัดพระธรรมกายเท่านั้นยังมีการผ่องถ่ายออกไปในรูปแบบช่องทางอื่น เช่น เอาไปซื้อที่ดิน แล้วจากนั้นก็ขายไปให้เครือข่ายธรรมกาย เอาเงินไปให้มูลนิธิ หรือที่ดินบางแปลงก็มอบต่อไปให้มูลนิธิ ทำการก่อสร้างอาคารต่อไป กลายเป็นสมบัติของเครือข่ายธรรมกาย มูลค่ามหาศาล
ปัจจุบัน ชาวสหกรณ์ฯคลองจั่นยังทุกข์ระทม ยังต้องติดตามการยึดทรัพย์กลับคืนมาเป็นรายคดี
1. คดีที่ไปถึงศาลยุติธรรมแล้ว ด้วยสำนวนแน่นหนา ก็ค่อยๆ มีคำพิพากษาออกมาชัดเจน
ล่าสุด คือ กรณีเกี่ยวกับแร่หินอัญมณีสีน้ำเงิน “ลาพิส ลาซูลี่” น้ำหนัก 2.85 แสนกิโลกรัม มูลค่า 142.5 ล้านบาท
สืบเนื่องจากดีเอสไอดำเนินคดีพิเศษที่ 25/2559 ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน ตามเส้นทางการเงินที่นายศุภชัย ศรีศุภอักษร และพวก จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินของดีเอสไอ พบว่า ระหว่างวันที่ 1 มิ.ย. 2553-14 มี.ค. 2556 นายศุภชัยกับพวก โอนเงินจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น และจากบัญชีเงินฝากธนาคารของนายศุภชัย จำนวนหลายรายการ โดยมีเงินจำนวน 350,500,000 บาท เข้าบัญชีเงินฝากของนางผกามาศ ไชยสงคราม และบริษัท อนันตศิลาบารมี จำกัด ซึ่งมีนางผกามาศ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ
หลังจากนั้น นางผกามาศ ได้ถอนเงินสดจำนวนดังกล่าวไปมอบให้นายธณศิภารัช พิณธุรักษ์ เพื่อนำไปซื้อแร่ลาพิส ลาซูรี่ (Lapis Lazuli) จำนวน 7 ตู้คอนเทนเนอร์ น้ำหนักประมาณ 285,000 กิโลกรัม
คณะกรรมการธุรกรรม ปปง. มีมติให้ยึดทรัพย์ส่วนนี้ไว้ชั่วคราว ตามคำสั่งที่ ย.76/2562 ลงวันที่ 27 มี.ค.2562
ล่าสุด ศาลแพ่ง มีคำพิพากษาให้แร่หินอัญมณีสีน้ำเงิน “ลาพิส ลาซูลี่” น้ำหนัก 2.85 แสนกิโลกรัม มูลค่า 142.5 ล้านบาทนั้น ตกคืนแก่สหกรณ์ฯคลองจั่นแล้ว
ส่วนคดีอาญา ทราบว่า ดีเอสไอสรุปสำนวนมีความเห็นควรสั่งฟ้องนายศุภชัย กับพวก ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน และสมคบกันฟอกเงินในกรณีนี้ไปก่อนหน้าแล้ว
2. ทรัพย์สินอีกหลายรายการที่ถูกโกงไป ถูกผ่องถ่าย ยักย้ายถ่ายโอนไปไว้ในชื่อบุคคลต่างๆ อัยการได้มีการฟ้องศาลแพ่งขอให้ทรัพย์นั้นตกคืนแก่แผ่นดินไว้ก่อนหน้านี้ แล้วสหกรณ์ฯคลองจั่นก็ร้องต่อศาล ขอให้ตกเป็นของสหกรณ์ฯ ในฐานะผู้เสียหายแล้ว อาทิ
ศาลแพ่งพิพากษาให้เงินในบัญชีธนาคารตกเป็นของสหกรณ์ฯคลองจั่นแล้ว (คดียังไม่ถึงที่สุด) เงินฝาก 58 ล้านบาท ใน 4 บัญชีเงินฝาก ได้แก่ บัญชีวัดพระธรรมกาย (บัญชีเงินฝาก ธ.ธนชาต จำกัด (มหาชน) จำนวน 25,597,194 บาท บัญชีเงินฝาก ธ.กรุงไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน 14,257,934 บาท) บัญชีมูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูงในอุปถัมภ์พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (บัญชีเงินฝาก ธ.ธนชาต จำนวน 1,651,227 บาท บัญชีเงินฝาก ธ.กรุงไทย จำนวน 17,263,081 บาท) นอกจากนี้ ยังมีอาคารในโครงการเวิลด์พีซวัลเล่ย์เขาใหญ่,ที่ดินที่ตั้งอาคารบุญรักษา, ห้องชุดที่เมืองทองธานี เป็นต้น ศาลแพ่งก็มีคำพิพากษาให้ตกเป็นของสหกรณ์คลองจั่นแล้ว (คดียังไม่ถึงที่สุด)
โดยคำพิพากษาบางตอน ระบุถึงพฤติการณ์ฟอกเงินไว้ชัดเจน!!!
แต่มาถึงยุคนี้...
เมื่อเปลี่ยนเป็นยุครัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
เปลี่ยนมาถึงยุคอัยการสูงสุดคนใหม่
น่าคิดว่า คดีธรรมกายหลายคดี เหมือนตกอยู่ในสภาพ นะจังงัง!!!
กรณีที่พนักงานสอบสวนดีเอสไอส่งคำร้องถึงสำนักงานอัยการสูงสุด พิจารณายื่นคำร้องขอเลิกมูลนิธิ ตามประมวลกฎหมายแพ่ง มาตรา 131(2) และขอให้ศาลพิจารณาเลิกมูลนิธิ ให้ทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน ตามมาตรา 134 เนื่องจากสอบสวนพบพฤติการณ์ฟอกเงิน
พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง เคยแถลงว่า คดีพิเศษที่ 24/2560 คณะพนักงานสอบสวนเห็นควรกล่าวโทษมูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ฯ และกรรมการ (ชุดที่มีนางวรรณา จิรกิติ ประธานกรรมการมูลนิธิ) มีความผิดในข้อหาสมคบกันฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงิน นอกจากนั้น มูลนิธิยังดำเนินการผิดวัตถุประสงค์ก่อตั้งมูลนิธิ จึงเสนอให้อัยการยื่นฟ้องต่อศาลสั่งให้ยุบมูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ฯ และขอศาลสั่งให้ทรัพย์สินมูลนิธิ ตกเป็นของแผ่นดิน โดยทรัพย์สินบางส่วน ปปง.ได้ยึดอายัดไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
พ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวกุล มือปราบตงฉินแห่งดีเอสไอถึงกับบอกว่า “จากการสอบสวนพบแผนประทุษกรรมเข้าลักษณะความผิดตามกฎหมายฟอกเงินโดยเป็นการกระทำทุจริต เซ็นเช็คสั่งจ่ายเงินของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด และนำไปมอบให้กับพระธัมมชโย แล้วส่งต่อเงินไปให้มูลนิธิอุบาสิกาจันทร์ฯ ใช้สร้างอาคารลูกโลกประมาณ 700-800 ล้านบาท และเข้าบัญชีวัดเพื่อสร้างวิหารคดอีกประมาณ 700 ล้านบาท และเช็คที่นำไปมอบให้พระธัมมชโยได้นำไปเข้าบัญชีมูลนิธิโดยตรงจำนวน 125 ล้านบาท ก่อนหน้าคดีนี้ได้ส่งสำนวนคดีพระสงฆ์เครือข่ายวัดพระธรรมกายจำนวน 3 รูป นำไปซื้อที่ดิน และยังมีคดีคนของวัดพระธรรมกายนำเงินไปเล่นหุ้น ซึ่งอยู่ระหว่างการสอบสวน”
แต่ผ่านมานับปี อัยการก็ยังไม่ยื่นฟ้องต่อศาลแต่อย่างใด
ทั้งๆ ที่ หากทรัพย์สินของมูลนิธิตกเป็นของสาธารณสมบัติของแผ่นดิน อาจดำเนินการเพื่อนำเงินไปชำระคืนแก่ผู้เสียหายสหกรณ์ฯคลองจั่นต่อไป
ยิ่งไปกว่านั้น ล่าสุด อัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องเจ้าสัวใหญ่ธรรมกาย นายอนันต์ อัศวโภคิน คดีฟอกเงิน
นะจังงัง… ชิตังเม โป้ง!!!
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี