บรรดาคอการเมือง (รวมทั้งผมด้วย) ต่างเฝ้ามองดูพรรคอนาคตใหม่ในฐานะคนนอกมาตั้งแต่ต้น ซึ่งต่างก็คาดว่าพรรคนี้คงจะไม่ได้คะแนนเสียงมากมายนัก ให้อย่างเก่งก็คงไม่เกิน40 – 50 ที่นั่งในสภา โดยน่าจะได้เสียงสนับสนุนจากคนรุ่นหนุ่มรุ่นสาว เพราะความสดใหม่ บวกกับบุคลิกพูดจาโฉ่งฉ่าง ท้าทาย มุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงสังคม แถมประกาศว่าจะไม่เล่นการเมืองแบบเดิมๆ (ที่มัวแต่เกาหลังกันไปมา) พร้อมที่จะชน และยืนหยัดกับจุดยืนของตน แถมมีการใช้สื่อสมัยใหม่ (โซเชียลมีเดีย) ในการหาเสียงได้อย่างแยบยลเสียอีก ซึ่งผลคะแนนก็ออกมาแบบหักปากกาเซียน โดยได้ไปถึง 80 กว่าที่นั่ง ในสภา
บางคนถึงขนาดบอกว่า หากพรรคไทยรักษาชาติไม่สะดุดล้มก่อนขึ้นเวทีเสียก่อน พรรคอนาคตใหม่ก็น่าจะได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล นำโดยพรรคเพื่อไทย ซึ่งสูตรสำเร็จแบบนี้ก็ต้องยอมรับในความเซียนทางการเมืองของท่านนายทักษิณชินวัตร ที่เดินหมากจรยุทธ์ 3 ด้าน (Three Prong Approach) : โดยพรรคเพื่อไทย ได้ฐานเสียงจากเขตในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กรุงเทพฯ และปริมณฑล พรรคไทยรักษาชาติได้ฐานเสียงจากปาร์ตี้ลิสต์ ส่วนพรรคอนาคตใหม่ได้ฐานเสียงจากคนหนุ่มสาว
ผลการเลือกตั้งออกมา พรรคอนาคตใหม่แซงขึ้นมาเป็นลำดับที่ 3 แซงพรรคหน้าเดิมๆ ที่ชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทย ไปอย่างไม่มีใครคาดมาก่อนการเลือกตั้ง
พรรคอนาคตใหม่จึงถือเป็นความหวังของคนรุ่นใหม่ รวมทั้งของผู้คนที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง หรือการเมืองแบบใหม่ๆ คือ ชัดเจนในท่าที และมีความถึงลูกถึงคนในการดำเนินงาน
แต่แค่เวลาผ่านไม่ถึงปี มาบัดนี้ พรรคอนาคตใหม่ กลับเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงทั้งเรื่องการจัดการบริหารภายในพรรค เรื่องที่ไปที่มาของเงินๆ ทองๆ ภายในพรรค และที่สำคัญคือ ผู้นำพรรค ก็ค่อนข้างจะขาดความระมัดระวัง ขาดความรอบคอบ ในการโอภาปราศรัย พูดจาทีไร ก็ดูพร้อมจะชักศึกเข้าบ้าน แถมหลังๆ ยังออกไปในสไตล์การเมืองแบบแบ่งพรรคแบ่งพวก (Divisive) ซึ่งสวนทางกับที่เคยประกาศไว้ว่า จะทำพรรคการเมืองเพื่อคนทุกหมู่เหล่า
อย่างที่กล่าวไว้ว่า พรรคอนาคตใหม่ ได้คะแนนหลักๆ จากคนรุ่นใหม่ ซึ่งโตไม่ทัน ไม่ได้สัมผัสเกี่ยวกับบทบาทของ นายทักษิณ ชินวัตร และที่มาของการต่อต้านจากพวกที่ไม่เอา “ทักษิณ” ที่ผ่านมาเป็นเวลาสิบกว่าปี ทำให้อาจจะไม่เข้าใจบทบาทของกองทัพกับการเมือง ทั้งที่มาที่ไป และโดยทั่วไป มักจะไม่รู้ประวัติศาสตร์ไทย (ซึ่งก็คงต้องโทษระบบการศึกษา สื่อสาธารณะ และการขาดการใฝ่รู้)
ฉะนั้น เมื่อพรรคอนาคตใหม่ ประกาศกลับลำ ออกนโยบายจะเอา “ทักษิณ” กลับบ้าน หลังจากที่พรรคไทยรักษาชาติถูกยุบไปเพียงครึ่งวัน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ยืนกระต่ายขาเดียวมาตลอดว่า พรรคของตนไม่เกี่ยวข้องกับนายทักษิณ คนรุ่นใหม่ก็เลยไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงใจอะไรว่า พรรคอนาคตใหม่ได้รับสัญญาณให้พยายามช้อนเอาเสียงฝ่ายทักษิณในเขตที่พรรคเพื่อไทยหลีกทางให้พรรคไทยรักษาชาติ
โดยต่างคิดว่าก็ดีนี่ให้นายทักษิณกลับมาชนทหารก็ดูเท่ดี เพราะอย่างไร ก็คิดว่าจะไม่เอาประเพณีดั้งเดิมที่สืบทอดกันมาอีกแล้ว อยากได้สิทธิเสรีภาพแบบด่วน ทำได้ทันที เช่นไม่ต้องร้องเพลงชาติ ไม่ยืนทำความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์ระหว่างเพลงสรรเสริญพระบารมี
พฤติกรรมดังกล่าวส่งผลให้พรรคอนาคตใหม่ขาดฐานเสียงสนับสนุนจากชนชั้นกลาง และสร้างความเกลียดชังจากทางกองทัพให้กับตัวเอง ซึ่งไม่แปลกใจว่าฝ่ายกองทัพนั้น ก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อสกัด และโค่นล้มพรรคอนาคตใหม่ เพราะเมื่อไปท้าทายเขา เขาก็ต้องชนตอบ
ฝ่ายกองทัพนอกจากมีอำนาจทางทหารล้นเหลือแล้วยังได้สื่อเอกชนมาเป็นกระบอกเสียงให้อีกด้วย ไม่ว่าจะด้วยความเสน่หา หรือด้วยผลประโยชน์ตอบแทนใดก็ตาม สื่อบางสถานี ก็ดูจะขมักขเม้นทำงานปกป้องฝ่ายกองทัพ และโจมตีพรรคอนาคตใหม่ได้อย่างไม่ลดละ แบบออกหน้าออกตากว่าสื่อรัฐใดทั้งสิ้น
รวมกันเสียอีก
อย่างไรก็ดี ทั้งการสกัดจากสื่อ และกองทัพ ก็มิได้ทำให้ความนิยมในตัวพรรคอนาคตใหม่ จากคนรุ่นใหม่เสื่อมลงแม้แต่น้อย กลับจะทำให้เกิดความศรัทธาที่มากขึ้นอีกเสียด้วยจากการเล่นบทเป็นผู้ถูกกระทำผ่านการสื่อสารทางสื่อสมัยใหม่ไปยังผู้สนับสนุนโดยตรง
สิ่งเหล่านี้ทำให้พรรคอนาคตใหม่ดูจะมีความแข็งแกร่งสามารถยืนระยะต่อสู้กับรัฐบาลกองทัพได้อย่างไม่เกรงกลัว เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ยังได้รับเสียงสนับสนุนจากมวลชนของตนอย่างเหนียวแน่น ทั้งมุ่งเน้นขายเรื่องอุดมการณ์อย่างเดียว ไม่ได้มีเรื่องนโยบายที่จะยกระดับความเป็นอยู่ให้กับมวลชนที่เป็นฐาน
เสียงของตนแต่อย่างใด (จนสื่อหลายสำนักแซวว่า พรรคอนาคตใหม่คงตอบคำถาม “มีนโยบายอย่างไรบ้าง ที่จะทำให้คนไทยอยู่ดีกินดี?” ว่า “เราต้องแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย”)
จนแล้วจนรอด ทั้งๆ ที่ ฟอร์มดี ฟอร์มสด พรรคอนาคตใหม่กลับตายน้ำตื้น เพราะดันบริหารจัดการองค์กรเสมือนเป็นธุรกิจส่วนตัว ขาดความเป็นประชาธิปไตยภายในพรรค ทำให้เกิดปฏิกิริยาสะท้อนกลับเกิดขึ้นภายในองค์กร ศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ของสมาชิกพรรคได้ปลุกให้เกิดการเรียกร้อง ซึ่งความปั่นป่วนภายในพรรคที่มาจากสมาชิกนั้น ได้สะท้อนให้สังคมได้เห็นถึง ธาตุแท้ของกลุ่มผู้นำพรรค ซึ่งไม่พ้นอีหรอบเดิม นั่นคือ อาเสี่ยมาลงทุนเล่นการเมือง ก็หวังขอทุนคืนพร้อมกำไร ส่วนบรรดาลูกพรรคนั้นก็เป็นแค่ฐานอำนาจเท่านั้น
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ บรรดาคนรุ่นใหม่ ที่ฝากผีฝากไข้ ฝากความหวังกับการเมืองยุคใหม่ ไว้ในมือพรรคอนาคตใหม่ ก็คงจะมีความลังเลกันบ้าง บางคนคงกลับไปทบทวนการสนับสนุนกันอีกหน เพราะการเมืองที่เขาใฝ่ฝันคือการอาสามารับใช้สังคมประเทศชาติ ส่วนการเมืองที่มุ่งตอบสนองตัณหานั้นมิใช่ของแท้ และไร้ความยั่งยืน
ดังนั้นในภาพกว้าง อนาคตของการเมืองไทยก็ยังดูมืดมน จะฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล พรรคไหนๆ ก็ต่างเป็นพวกอำนาจนิยมทั้งนั้น ไม่ได้มีใครมีจิตวิญญาณแห่งประชาธิปไตย ที่จะลงมือทำเพื่อผลประโยชน์ของชาวไทย และประเทศไทยเป็นหลักอย่างที่เราๆ ท่านๆ หวังเอาไว้ คอยจ้องมองแต่จะฉวยจังหวะเอาอำนาจบริหารมาไว้ในมือ
ประเทศไทยเรายังขาดพรรค และนักการเมืองที่จะอุทิศชีวิตให้ประเทศชาติอย่างแท้จริง
แต่หากจะมองในแง่บวก หรือโลกสวย ก็คงกล่าวได้ว่ายังพอมีช่องทางสำหรับกลุ่ม ขบวนการ หรือพรรคการเมืองหน้าใหม่ที่จะเสนอตัวเพื่ออาสารับใช้บ้านเมืองต่อประชาชนพลเมืองได้
ซึ่งนอกจากจะต้องมีความกล้าหาญ ความรักชาติ เป็นสำคัญแล้ว จะต้องเป็นผู้ที่ชัดเจนในอุดมการณ์ประชาธิปไตย และมาพร้อมกับนโยบายที่จับต้องได้ ในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนไทยอีกด้วย
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี