พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เป็นพื้นที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ไม่สงบนั้นคือจังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส และอำเภอจะนะ เทพา นาทวี สะบ้าย้อย ของจังหวัดสงขลา ซึ่งเรียกรวมกันว่าจังหวัดชายแดนภาคใต้
แต่ก่อนมานั้นเหตุการณ์ไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้จะถูกเรียกว่าเหตุการณ์ไม่สงบในห้าจังหวัดภาคใต้ ซึ่งก็คือจังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส สงขลา และสตูล
ในยุครัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เหตุการณ์ทั้งหมดได้สงบลงโดยทั่วไป จนกระทั่งมาเกิดเหตุประปรายขึ้นบ้าง จึงถูกเรียกเป็นเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่สี่จังหวัด คือ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และสงขลา โดยนับเอาจังหวัดสตูล เป็นจังหวัดที่มีความปลอดภัยกลับคืนมา
ครั้นรัฐบาลพรรคไทยรักไทยก็เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบคุโชนขึ้นมา ซึ่งครั้งนี้เหตุการณ์ไม่สงบได้ถูกตรวจพบโดยทางการข่าวว่าขยายตัวมาในพื้นที่สี่อำเภอของจังหวัดสงขลา คือ จะนะ เทพา นาทวี สะบ้าย้อย
พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ซึ่งเข้ามาดูแลรับผิดชอบงานด้านความมั่นคงและหน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบ จึงเห็นพ้องต้องกันให้เรียกสภาพดังกล่าวว่าเหตุการณ์ไม่สงบในพื้นที่สามจังหวัดและสี่อำเภอของจังหวัดสงขลา ทั้งนี้เพื่อจำกัดขอบเขตพื้นที่ไม่สงบตามที่เป็นจริง
เหตุที่ต้องเรียกขานเป็นพื้นที่ก่อความไม่สงบ และเรียกผู้ก่อการว่าผู้ก่อความไม่สงบ โดยไม่เรียกว่าผู้ก่อการร้ายก็เพราะเหตุสองประการคือ สภาพการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ถึงขั้นเป็นการก่อการร้าย จึงไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะยกระดับความรุนแรงของสภาพที่เป็นแค่เหตุการณ์ก่อความไม่สงบให้เป็นเหตุการณ์ก่อการร้าย ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยถูกแทรกแซงจากต่างประเทศได้โดยง่าย
เพราะถ้าเป็นเรื่องการก่อการร้าย บรรดาประเทศทั้งหลายก็สามารถอ้างสิทธิ์เข้ามาแทรกแซงเกี่ยวข้องได้นี่คือความเฉลียวฉลาดและความสามารถในการจัดการกับสถานการณ์ของผู้นำความมั่นคงและกองทัพของชาติในขณะนั้น
และเพราะเหตุนี้จึงเรียกผู้ก่อการว่าเป็นผู้ก่อความไม่สงบ ดังนั้น ใครหน้าไหนก็ตามที่คิดริอ่านจะให้เรียกว่าเป็นผู้ก่อการร้ายจึงควรจะได้ทำความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้เสียให้ถูกต้อง เพราะการพูดส่งเดชหรือเสนอส่งเดชโดยไม่เข้าใจเรื่องราวนั้นอาจก่อให้เกิดความสับสนและทำให้ปัญหาลุกลามบานปลายไปไม่มีที่สิ้นสุดเกินกว่าสภาพที่เป็นจริง
เมื่อเข้าใจสภาพของเรื่องเช่นนั้นแล้วก็ควรต้องทำความเข้าใจสภาพของพื้นที่สามจังหวัด สี่อำเภอ ไปพร้อมกันด้วย จะได้ไม่สับสนปนเปอลหม่านหรือเข้าใจไขว้เขวไปคนละทิศคนละทาง
ซึ่งต้องทำความเข้าใจร่วมกันว่า พื้นที่สามจังหวัดสี่อำเภอชายแดนภาคใต้ดังกล่าวนั้น มีลักษณะเป็นพิเศษแตกต่างจากสภาพพื้นที่โดยทั่วไปของประเทศไทยในประการที่สำคัญดังต่อไปนี้
ประการแรก พื้นที่ดังกล่าวนั้นเคยเป็นพื้นที่เคลื่อนไหวสู้รบที่ยาวนานกว่า 30 ปี นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา ระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์มาลายากับรัฐบาลมาเลเซีย ระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย กับรัฐบาลไทย โดยพรรคคอมมิวนิสต์มาลายาและพรรคคอมมิวนิสต์ไทยได้ร่วมมือประสานงานกัน ถึงขั้นตั้งเขตปฏิบัติการทางทหารร่วมกันในแดนต่อแดน ที่กองทัพปลดแอกของพรรคทั้งสองปฏิบัติการคาบเกี่ยวกัน
ถึงขั้นตั้งเป็นกองกำลังผสมในพื้นที่ดังกล่าวนั้นชื่อว่ากองกำลังเบอร์ซาตู และมีเพลงประจำหน่วยเฉพาะที่ขึ้นต้นด้วยถ้อยคำว่า เบอร์ซาตูอารายัส เป็นต้น
ในรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ด้วยการทำงานอย่างแข็งขันและเสียสละของผู้นำเหล่าทัพและหน่วยงานด้านความมั่นคงทั้งหลาย ประเทศไทยสามารถประสานงานเจรจาสงบศึกกับทุกฝ่ายได้สำเร็จ มีการลงนามในสนธิสัญญาสงบศึกที่หาดใหญ่ และหลังจากนั้นชาวพรรคคอมมิวนิสต์มาลายาที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยก็ได้รับการดูแลจากรัฐบาลไทยในการจัดที่ทำกินให้ โดยจัดตั้งเป็นหมู่บ้านยุทธศาสตร์ขึ้นที่จังหวัดนราธิวาส คือหมู่บ้านจุฬาภรณ์พัฒนา 1-10 และจัดตั้งหมู่บ้านปิยะมิตร ขึ้นอีกหลายหมู่บ้านในจังหวัดยะลา โดยได้มอบสัญชาติไทยให้ ซึ่งได้ดำเนินงานต่อเนื่องถึง 15 ปี และสำเร็จสิ้นสุดลงในรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร
ประการที่สอง ในพื้นที่ดังกล่าวที่พรรคคอมมิวนิสต์มาลายาเคลื่อนไหว ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพปลดแอกประชาชนจีน ที่มอบหมายให้จอมพลหลิวป๋อเฉิง ฉายามังกรตาเดียวแห่งกองทัพหลิว-เติ้ง ที่มีชื่อเสียงลือลั่นสนั่นโลกจากยุทธการหวายไห่ ให้เป็นหน่วยฝึกสอนการขุดอุโมงค์และการทำสงครามอุโมงค์กับกองทัพญี่ปุ่นและกองทัพอังกฤษ ซึ่งได้มีการขุดอุโมงค์เชื่อมโยงหลายพื้นที่ มีความยาวมากที่สุดในโลก และมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และบางแห่งได้เปิดใช้เป็นแหล่งท่องเที่ยวในปัจจุบันนี้
ควรทราบด้วยว่าสงครามอุโมงค์ที่เวียดมินห์ใช้ต่อสู้กับกองทัพสหรัฐนั้น การขุดอุโมงค์ได้เรียนรู้มาจากพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยอาศัยฐานะของประธานโฮจิมินห์ที่เคยเป็นตัวแทนโคมินเทิร์น หรือองค์การคอมมิวนิสต์สากล ซึ่งเป็นประธานในการทำพิธีก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์มาลายา ดังนั้นอุโมงค์เพื่อการสงครามที่เวียดมินห์สร้างขึ้นในเวียดนามที่เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เลื่องชื่อลือชาของโลกแท้จริงก็เลียนแบบมาจากประเทศไทย มีขนาดเล็กกว่าและสั้นกว่าประเทศไทย แต่น่าเสียดายที่คนไทยไม่รู้จักใช้ประโยชน์พัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เลื่องชื่อลือชาของโลกเลย
สภาพอุโมงค์ดังกล่าวหลังจากถูกทอดทิ้งมานาน ขาดการสำรวจว่าใครฝ่ายไหนได้แอบไปใช้ประโยชน์ในการศึกสงครามบ้างหรือไม่ นับเป็นตัว unknown ที่น่าพรั่นพรึงตัวหนึ่งของสภาพการณ์ในพื้นที่นั้น
ประการที่สาม ในพื้นที่นั้นจังหวัดยะลาเป็นศูนย์กลางที่สำคัญของสถานการณ์ เป็นศูนย์กลางของนิกายสำคัญในอิสลาม เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการต่างประเทศของพื้นที่นั้นที่อาจกล่าวได้ว่าจังหวัดยะลาคือเมืองหลวงของสถานการณ์ แต่จะมีใครสักกี่คนเล่าที่รู้กระจ่างแจ้งในเรื่องนี้ กระทั่งกอดเอาศัตรูมาเป็นมิตร
ประการที่สี่ สภาพภูมิประชากรซึ่งเป็นปมเงื่อนสำคัญของสถานการณ์และขาดไร้การศึกษาหรือตระหนักถึงความสำคัญในความมีลักษณะพิเศษก็คือ ในพื้นที่นั้นมีสภาพภูมิประชากรประกอบด้วยผู้มีเชื้อสายมาลายู ผู้มีเชื้อสายจีน และผู้มีเชื้อสายไทยผสมปนเปกันอยู่ ตามมากตามน้อยโดยลำดับนั้น มีศาสนสถานที่สำคัญที่ถือได้ว่าเป็นศูนย์รวมจิตใจคือมัสยิดกรือเซะของพี่น้องมุสลิม วัดช้างไห้ของพี่น้องชาวพุทธ และศาลเจ้าเล่งจูเกียงหรือศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวของพี่น้องคนไทยเชื้อสายจีน
หากไม่เข้าถึงก็ย่อมไม่เข้าใจสภาพภูมิประชากร และไหนเลยจะเข้าใจการแก้ไขปัญหาได้
ประการที่ห้า สภาพภูมิเศรษฐกิจของพื้นที่นั้นมีลักษณะเฉพาะแต่ละพื้นที่ของตนเอง โดยจังหวัดยะลาเป็นเมืองหน้าด่าน เป็นศูนย์กลางนำเข้า-ออก ซึ่งสินค้าจากภาคใต้ตอนบน ที่หล่อเลี้ยงประชากรในพื้นที่นั้นมาแต่โบราณกาล ในขณะที่ปัตตานีเคยเป็นเมืองท่าที่รุ่งเรืองมาตั้งแต่ครั้งอยุธยา และเป็นท่าเรือหน้าของยุคอยุธยาในการค้าขายกับต่างประเทศที่เจริญรุ่งเรืองและก้าวหน้า ขนาดมีความสามารถที่จะสร้างปืนใหญ่ที่ทันสมัยกว่าอยุธยาด้วยซ้ำไป ดังเช่นการสร้างปืนใหญ่นางพญาตานี เป็นต้น
ส่วนจังหวัดนราธิวาสนั้น มีสภาพเป็นภูเขาสูง เป็นพื้นที่ชายแดน พื้นที่แดนต่อแดน เป็นพื้นที่ทุรกันดาร มีศักยะที่สามารถตั้งฐานที่มั่นและเขตที่มั่นทางการทหารในการทำสงครามจรยุทธ์ได้เป็นอย่างดี
ส่วนสี่อำเภอของจังหวัดสงขลา ก็คือ พื้นที่ราบเกือบทั้งหมด เป็นพื้นที่สงบสุขแต่กลับเชื่อมโยงกับเขตภูเขาสำคัญ ในระยะที่ไม่ไกลนักกับสี่เขตภูเขา คือ เขตเขาสูง เขาน้ำค้าง เขาซีเหล็ง และควนแก้ว โดยเขตเขาทั้งสี่แห่งนี้มีชุมชมแวดล้อมโดยรอบ และมีชุมชนตลอดแนวเส้นทางทั้งพื้นที่ด้วย
ประการที่หก สภาพภูมิประเทศของพื้นที่ดังกล่าว นอกจากพื้นที่สี่อำเภอของจังหวัดสงขลา ที่มีลักษณะพิเศษคือเป็นพื้นที่ราบส่วนใหญ่แล้ว สภาพภูมิประเทศของยะลา ปัตตานี และนราธิวาส ต่างก็มีลักษณะพิเศษที่แตกต่างกัน ซึ่งน่าเสียดายว่าแทบไม่มีการปรับใช้ภูมิประเทศให้เกื้อกูลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายรัฐบาลเลย
นี่คือสภาพทั่วไปที่ถ้าหากใครไม่รู้และไม่เข้าใจเป็นเบื้องต้นแล้วก็อย่าหมายว่าจะสามารถรับผิดชอบแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่นั้นได้ ซึ่งซุนหวู่ได้กล่าวว่าคนแบบนี้อย่าใช้ไปทำศึกเลย!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี