ประเทศสิงคโปร์ ประกอบด้วยคนเชื้อสายจีน ร้อยละ 70มลายู ร้อยละ 30 และอินเดีย ร้อยละ 10 และถ้ามองจากกลุ่มศาสนา ก็จะประกอบไปด้วย พุทธที่แฝงด้วยขนบธรรมเนียมประเพณีและความเชื่อถือแบบจีน (เต๋า), มุสลิม, คริสเตียน และฮินดู
ซึ่งในปี ค.ศ. 1965 (พ.ศ. 2508) ได้เกิดการปะทะกันระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์และศาสนา หลังจากที่สิงคโปร์แยกตัวออกจากมาเลเซียใหม่ๆ ส่งผลให้ผู้นำทางการเมือง วงการธุรกิจ และศาสนา ได้ตระหนักว่า หากสิงคโปร์จะอยู่รอด และเจริญก้าวหน้า สังคมสิงคโปร์จะต้องไม่มีเรื่องประเด็นปัญหาว่าด้วยชาติพันธุ์ และการแบ่งแยกในการนับถือศาสนา ชาวสิงคโปร์ต้องคงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเพื่อข้ามปัญหานี้ไปให้ได้
และในที่สุด สิงคโปร์ก็ทำได้ โดยจวบจนบัดนี้ ก็ไม่เคยมีข่าวคราวว่าสังคมสิงคโปร์ขัดแย้งกันทางความเชื่อ หรือเชื้อชาติอีกเลย คนสิงคโปร์ต่างอยู่ร่วมชายคาเดียวกันท่ามกลางความหลากหลาย ท่ามกลางความต่าง ได้อย่างสุขสงบ เป็นความสำเร็จที่น่าชื่นชม และควรนำไปใช้เป็นข้อคิด เป็นแบบอย่าง แก่สังคมประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้
ความสำเร็จต่างๆ ของสิงคโปร์นั้นมาจากความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว เอาจริงเอาจังของกลุ่มผู้นำ โดยเฉพาะอดีตผู้ก่อตั้งประเทศ และอดีตนายกรัฐมนตรีอันยาวนานของสิงคโปร์ นายลี กวน ยู ที่จะมุ่งเสริมสร้างการอยู่ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันของชาวสิงคโปร์ ท่ามกลางความเป็นพหุสังคม หรือพหุวัฒนธรรม
กฎหมายของสิงคโปร์ที่ว่าด้วยการเคารพสิทธิของผู้อื่นในเรื่องการนับถือศาสนานั้นมีความเข้มงวดในการบังคับใช้อย่างเคร่งครัด และปฏิบัติด้วยความยุติธรรม ไม่เอนเอียง และไม่เลือกปฏิบัติ
และในทางคู่ขนานกัน การให้ความรู้ความเข้าใจ และหลักปฏิบัติต่อผู้อื่นต่อชาวสิงคโปร์ ก็ดำเนินการอย่างเป็นจริงเป็นจัง อาทิ การมีกฎเกณฑ์บังคับว่า อาคารที่อยู่อาศัยของรัฐนั้นจะต้องมีความหลากหลาย ด้วยผู้คนต่างชาติพันธุ์ และศาสนา และอำนวยให้มีกิจกรรมร่วมกันทั้งต่างศาสนา และชาติพันธุ์ เป็นต้น
พลเมืองสิงคโปร์จึงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น และผู้ปฏิบัติ สามารถไปกันได้กับสังคมพหุวัฒนธรรม
ก็สะท้อนว่า การเมืองสิงคโปร์นั้นห้ามหรือมิเปิดโอกาสให้พรรคการเมือง ขบวนการเคลื่อนไหว หรือองค์กรศาสนาใดๆ เอาเรื่องศาสนาและชาติพันธุ์ไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง หรือเป็นเครื่องมือทางการเมือง
ผู้นำทางการเมืองเล่นตามกติกา กระบวนการยุติธรรมเที่ยงธรรม ระบบราชการตอบสนอง ประชาชนพลเมืองมีส่วนร่วมทางการเมือง และเคารพสิทธิ์ของผู้อื่น ทุกคนจึงมีที่ยืนในสังคม ไม่มีใครเหนือใคร ไม่มีใครได้แต้มต่อ สังคมสิงคโปร์ก็เคลื่อนไปข้างหน้าได้ร่วม 50 ปี โดยไม่มีเรื่องศาสนาและชาติพันธุ์มาเป็นตัวอุปสรรคขวางกั้น หรือตัวถ่วง
ในทางกลับกัน สังคมไทยเราก็ไม่น้อยหน้าใครในเรื่องการเป็นพหุสังคม พหุวัฒนธรรม และการเปิดกว้าง เราเองแทบไม่เคยมีปัญหาชาติพันธุ์ และไม่มีปัญหาการขัดแย้งกันระหว่างศาสนา
ประเด็นนี้ ไทยเราอาจจะดูดีกว่าสิงคโปร์เล็กน้อย เพราะไม่ต้องออกกฎหมายมาบังคับให้อยู่ร่วมกันแต่คนไทยสามารถอยู่ร่วมกันได้เป็นธรรมชาติ เพราะอยู่บนพื้นฐานแห่งความโอบอ้อมอารีต่อกัน ส่งผลให้เกิดการยอมรับซึ่งกันและกันโดยปริยาย
ความงดงามโดดเด่นของการเป็นพหุสังคมของไทยนั้น ต้องไม่ให้ผู้ใดเข้ามาทำลาย ชาวไทยต้องปฏิเสธการที่ใครจะนำเอาเรื่องเชื้อชาติ หรือศาสนามา “เล่นการเมือง” เพราะรังแต่จะเดือดร้อน แตกแยก ในสังคมเปล่าๆ
คนไทยทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน โดยยังมีหน้าที่ในการเคารพสิทธิของผู้อื่นอีกด้วย และในศาสนาต่างๆ ก็ต้องมีการตกลงให้ชัดเจนว่า จะยึดเอาว่า ความเข้าใจในคำสั่งสอนของตัวเองนั้นที่ถูกต้อง ของผู้อื่นผิด หรือเพี้ยน ใม่ได้ โดยความต่างนั้น มีในต่างศาสนาแล้ว ก็ต้องมีได้ในศาสนาเดียวกันเช่นกัน บุญ-บาป หรือกรรม ในความเชื่อของใคร ก็ต่างรับผิดชอบกันไปตามเส้นทางของตน จะไปบังคับผู้ที่เห็นต่างออกไปมิได้
มิเช่นนั้น สังคมจะแตกแยก เต็มไปด้วยการทะเลาะเบาะแว้ง ไร้สันติภาพ และนำพาประเทศชาติไปสู่สงครามกลางเมืองในที่สุด
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี