เรื่องพูดจา บรรยงบรรยาย อภิปราย โต้วาทะวาที นั้นถือเป็นส่วนหนึ่งของอาชีพการงานของผม แต่ที่ผ่านๆ มานั้น ผู้ร่วมฟัง ร่วมเสวนา มักจะเป็นคนวัยหนุ่มวัยสาว ไปจนถึงผู้หลักผู้ใหญ่ และผู้สูงวัย ในขณะที่โอกาสจะได้พูดคุย หรือพูดจากับเด็กๆ เยาว์วัย นั้นไม่ค่อยจะมีนัก
แต่อย่างไรก็ดี เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้มีโอกาสไปพูดให้นักเรียนประถม มัธยมต้น มัธยมปลาย ทั้งโรงเรียนฟังภารกิจที่ได้รับมอบหมายโดยฝ่ายผู้บริหาร คณาจารย์ ก็คือหัวข้อในเชิงแนะแนว ให้กำลังใจ ให้แรงบันดาลใจ จากประสบการณ์ในสถาบันการศึกษาและชีวิตต่อๆ มา ซึ่งฟังเผินๆ แล้วก็ดูง่ายดี แต่เมื่อถึงเวลานั่งคิด เพื่อเตรียมตัวเพื่อไปพูดจา กลับไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ถึงขนาดต้องใช้เวลาคิดไตร่ตรองอยู่หลายวัน
ก็ขอถือโอกาสนี้สรุปเป็นหัวข้อ และถ่ายทอดไว้ เพื่อเป็นประโยชน์ในการพูดคุยกันที่วงครอบครัว วงผู้ปกครอง วงชมรมศิษย์เก่า และวงครูบาอาจารย์ ดังต่อไปนี้
1.การรู้และการใช้ภาษา (จะภาษาใดก็ให้ถูกต้อง) ขอให้ใช้ได้อย่างคล่องแคล่วชัดถ้อยชัดคำ ไม่ว่าจะเรียนภาควิทยาศาสตร์หรือเรียนภาคศิลปะ เพราะการสื่อสารเป็นเรื่องจำเป็นและสำคัญ
2.ผมได้เน้นว่า ไม่ว่าสังคมใดๆ ไม่ว่าที่ไหนในโลกก็จะเต็มไปด้วยความแตกต่างหลากหลาย (diversity) และความจำเป็นที่จะต้องอยู่ร่วมกัน ยอมรับและเคารพซึ่งกันและกัน เพื่อความสมานฉันท์ และการประคับประคองซึ่งกันและกันไป และฉะนั้น แต่ละคนก็ต้องคำนึงถึงผู้อื่นเป็นสำคัญไปโดยตลอด
3.ผมได้กล่าวด้วยว่า ในการเป็นมนุษย์ต้องมีความเป็นตัวตนของตนเอง ซึ่งจะมีได้ก็ด้วยการใฝ่รู้ ในขณะเดียวกันก็ต้องกล้าคิดกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสม
4.ผมได้เล่าให้เด็กๆ ฟังด้วยว่าการศึกษาที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ การหล่อหลอมให้รู้ดีรู้ชั่ว ให้ซื่อตรงและซื่อสัตย์สุจริต เป็นเกราะคุ้มกันและเป็นประโยชน์ต่อสังคม
5.ผมได้กล่าว่า อาชีพการงานของผม ซึ่งมี 2 ช่วง ช่วงแรกเป็นข้าราชการนักการทูต ภารกิจหลักคือ การเจรจาแก้ไขปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างไทย กับต่างประเทศ และการส่งเสริมมิตรไมตรีสัมพันธ์
ส่วนช่วงที่สองของชีวิตในปัจจุบันนี้ ในฐานะนักการเมือง นักขับเคลื่อนเรื่องการบ้านการเมือง ก็คือ การแก้ไขปัญหาบ้านเมือง และการเปลี่ยนรูปโฉมบ้านเมืองให้ดีขึ้น (Transformation)
ดังนั้น ก็เลยทิ้งท้ายเอาไว้ ให้เด็กๆ ได้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน เพื่อที่จะได้เติบโต และมาร่วมกันกับผมในการจรรโลงสังคมโลกให้ดีขึ้น
เพื่อนผมที่ไปร่วมด้วย ได้กล่าวเสริมเป็นข้อคิดที่เป็นประโยชน์ยิ่งว่า เมื่อใดมีโอกาสจะได้เรียนรู้อะไรก็รีบคว้าไว้ เพราะวันหนึ่งข้างหน้าอาจจะได้ใช้กันได้อย่างไม่คาดฝัน เป็นการดีต่อตนเอง
มองย้อนกลับไป ผมถือว่าโชคดีที่ได้ไปอยู่ที่โรงเรียนประจำ โดยมีบาทหลวงคอยช่วยหล่อหลอมให้ผมเป็นตัวเป็นตนได้ ดังที่ได้ถ่ายทอดให้เยาวชนดังกล่าวฟัง
ก็หวังว่า โรงเรียนไทยเรานั้น จะมิได้มุ่งเป็นเลิศเพียงด้านวิชาการ โดยเน้นการให้ความรู้เพื่อสอบแข่งขันเพียงอย่างเดียว หากแต่จะมุ่งภารกิจในการหล่อหลอมเด็กให้เป็นคนดี มีความเป็นตัวตนเป็นตน แต่คิดถึงผู้อื่นเป็นสำคัญ ควบคู่กันไปอีกด้วย
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี