เพียง 2 ครั้งที่สภาฯ ล่ม เพียงการร่วมรับประทานอาหารระหว่างพรรคร่วม เท่านี้ก็เป็นสัญญาณให้ทุกสายตาต่างจับจ้องไปถึงบทบาทการเคลื่อนไหวนับจากนี้ ไม่เพียงแต่การขยับตัวบรรดาพรรคร่วมต่างๆ ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ และภูมิใจไทย หากแต่ยังรวมถึงเหล่าพรรคขนาดเล็กและขั้วฝ่ายค้านอิสระอีกด้วย ซึ่งนับจากนี้ความเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้หลายๆ อย่าง ต่างถูกคำนวณรวมแล้วว่า มีผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลแน่นอนแต่จะทำให้เสถียรภาพดีขึ้น หรือแย่ลงจนถึงขั้นสลับขั้วการเมืองหรือสลับบางพรรคหรือไม่? คำตอบย่อมขึ้นอยู่กับการเดินเกมของ พล.อ.ประยุทธ์ นับต่อจากนี้
จากประเด็นการเสนอญัตติในที่ประชุมสภาฯ ของฝ่ายค้าน ถึงการพิจารณาการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาคำสั่งประกาศของ คสช. และหัวหน้า คสช.ตามมาตรา 44 ที่จะมีผลโดยตรงกับการกระทำของ พล.อ.ประยุทธ์ ในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อเกิดญัตติขึ้นแล้ว ก็ต้องเปิดทางให้มีการโหวตลงคะแนนในที่ประชุมสภาฯ เพื่อขอความเห็นชอบตามปกติ แต่ทว่าผลที่เกิดขึ้นคือสภาฯ ล่ม ท่ามกลางการขบเหลี่ยมกันของฝ่ายรัฐบาล ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งดังกล่าวเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงเสถียรภาพของรัฐบาลกลายๆ ในขณะนี้ใช่หรือไม่?ด้วยเหตุและปัจจัยต่างๆ ที่สะสมมา ต่างสอดรับกับกับช่วงจังหวะสถานการณ์สภาฯ ล่ม อย่างใกล้เคียงจนดูแยกไม่ออกว่าเป็นเหตุบังเอิญหรือไม่? ถึงประเด็นปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับพรรคร่วมหลัก ทั้งพรรคประชาธิปัตย์และภูมิใจไทย ที่ต่างเปิดหน้าแลกหมัดกับพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาลจนสะท้อนถึงความเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำอย่างที่หลายคนคาดการณ์ไว้?
ด้านพรรคประชาธิปัตย์ที่หลายฝ่ายมองว่ากำลังเล่นเกมชิงไหวชิงพริบกับพรรคพลังประชารัฐ จากกรณีที่พรรคพลังประชารัฐ เบรกการดันนายอภิสิทธิ์? แคนดิเดตในการขึ้นนั่งเก้าอี้ประธานกรรมาธิการศึกษาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่สุดท้ายพรรคประชาธิปัตย์ ต้องยอมถอนชื่อนายอภิสิทธิ์ไป แต่ทว่าผลจากการกระทำดังกล่าวย่อมทำให้พรรคประชาธิปัตย์ยังคงคุกรุ่นในอารมณ์หรือไม่ จนสุดท้ายอาจมีคนตั้งข้อสังเกตว่ามีความสัมพันธ์ใดกับรูปแบบการโหวตสวนรัฐบาลในเกมการตั้งกรรมาธิการพิจารณาคำสั่ง คสช.ที่ผ่านมาหรือไม่? ซึ่งการกระทำดังกล่าวนี้เอง มีสัญญาณอ่อนๆ มาก่อนหน้านี้แล้ว จากการกล่าวโจมตีทีมเศรษฐกิจของนายเทพไท ซึ่งเหตุทั้งสองข้างต้นนั้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดเหตุผลหนึ่ง ก็เพียงพอแล้วที่จะสะท้อนให้เห็นถึงสภาพการบริหารงานของรัฐบาลในชุดนี้ใช่หรือไม่?
ส่วนทางด้านพรรคภูมิใจไทยเอง ก็มีประเด็นขึ้นมาทันทีภายหลังนายสุริยะ รมว.อุตสาหกรรม ภายใต้ค่ายพลังประชารัฐ ได้ออกมาเลื่อนการยกเลิกใช้สารพิษ เช่น พาราควอต และคลอร์ไพริฟอส และเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขในการใช้สารไกลโฟเซต ซึ่งเรื่องดังกล่าวย่อมเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับความประสงค์แต่แรกเริ่มของพรรคภูมิใจไทย ที่ต้องการแบนสารพิษต่างๆ ข้างต้นในกรอบระยะเวลาที่กำหนด ฉะนั้นแล้วกระแสกดดันในเงื่อนไขการเป็นพรรคร่วม จึงตกไปอยู่กับพรรคพลังประชารัฐอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งต่อไปหากเป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ เมื่อใดที่พรรคพลังประชารัฐต้องการที่จะรวบรวมเสียงเพื่อรักษาเสถียรภาพ และผลักดันนโยบายต่างๆ ให้เป็นรูปธรรมมากกว่านี้ และที่สำคัญที่สุดในช่วงเวลานี้นอกจากเพื่อไม่ให้ สภาฯ ล่มอีก นั่นก็คือการป้องกันการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ ซึ่งหากไม่สามัคคีกัน แน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบเป็นวงกว้างทั่วถึงทั้งรัฐบาล เชื่อว่าในฐานะผู้นำทีมรัฐบาลควรจะผ่อนหนักผ่อนเบา ตามธรรมชาติของความเป็นรัฐบาลผสมมากกว่านี้ใช่หรือไม่?
อย่างไรก็ดี สถานการณ์ที่ว่ามานั้น ก็ดูจะขึ้น หลังมีการร่วมนัดรับประทานอาหารกันระหว่างพรรคร่วมวานนี้ ซึ่งจุดที่น่าสนใจนอกจากพรรคภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ และเหล่าพรรคเล็กที่มาเข้าร่วมแล้ว ยังมีซีกฝ่ายที่เรียกตัวเองว่าฝ่ายค้านอิสระมาร่วมแจมด้วย ซึ่งเพียงการนัดร่วมทานอาหารของพรรคพลังประชารัฐ คงไม่ทรงพลังในการแสดงถึงความจริงจังของพรรคพลังประชารัฐมากพอ ฉะนั้นแล้ว สิ่งที่ยืนยันความจริงใจได้มากที่สุดย่อมเป็นผู้นำตัวจริงของพรรคพลังประชารัฐอย่าง พล.อ. ประยุทธ์ ใช่หรือไม่? ซึ่งก็ได้เห็นแล้วในวานนี้ ซึ่งการแสดงตัวของนายกฯ ในงานดังกล่าว นอกจากจะเป็นการแสดงถึงท่าทีพร้อมจับมือกับทุกฝ่าย เพื่อก้าวข้ามความละเอียดอ่อนจากปัญหาต่างๆ ในช่วงเวลานี้แล้ว ยังเป็นการส่งสัญญาณอะไรบางอย่างถึงฝ่ายค้านในช่วงเวลานี้หรือไม่? หลังนายธนาธร หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่เพิ่งหลุดสถานะความเป็น สส. ไปแล้ว ทิ้งทวนด้วยการชี้แจงงบประมาณของกระทรวงกลาโหม และใช้จังหวะดังกล่าวสร้างวาทกรรมทางการเมืองสวยหรูด้วยประโยค เปิดพื้นที่ทางการเมืองใหม่ ที่หลายคนเข้าใจและตีความว่าอาจจะสื่อถึงเกมการเมืองบนท้องถนนหรือไม่?
ช่วงจังหวะเดียวกันกับที่พรรคอนาคตใหม่เดินเกมดังกล่าว ทางด้านพรรคเพื่อไทยเองก็ดูจะเงียบหายไปด้วยสัญญาณบางอย่างจากเบื้องบนหรือไม่? หลังนายชัชชาติ ประกาศเปิดตัวลงสนามชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม.ในนามผู้สมัครอิสระ ไม่สังกัดพรรคการเมืองใด ซึ่งเหตุที่นายชัชชาติให้คือเพื่อความคล่องตัวในการทำงาน และต้องการให้การมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นหัวใจหลัก แต่ทว่าน้อยคนนักที่จะเชื่อว่านายชัชชาติเป็นอิสระจริง? ด้วยเหตุจากกระแสข่าวที่ว่านายชัชชาตินั้นได้ไปร่วมงานกิจกรรมของมูลนิธิไทยคม โดยในภายหลังปรากฏภาพถ่ายคู่กับคุณหญิงพจมาน ทำให้เกิดกระแสข่าวลือขึ้นว่า นายชัชชาติได้พบนายทักษิณ เพื่อแสดงเจตนาที่จะลงสมัครในนามอิสระแล้ว? ซึ่งความจริงเป็นเช่นไร ไม่มีใครทราบได้ แต่หลายฝ่ายก็มองว่าหากเป็นเรื่องจริงนั้น ก็ดูจะตรงข้ามกับจุดยืนของแกนนำพรรคเพื่อไทยบางส่วนที่ต้องการจะส่งผู้สมัครลงชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯกทม. ในนามพรรคเพื่อไทยเอง ซึ่งแกนนำส่วนดังกล่าวหมายรวมถึงคุณหญิงสุดารัตน์ด้วย ใช่หรือไม่?คงต้องติดตามดูท่าทีต่อไป แต่ทว่าเรื่องดังกล่าวเอง เชื่อว่าน่าจะก่อให้เกิดแรงกระเพื่อม สะเทือนถึงรอยร้าวของพรรคเพื่อไทยด้วยหรือไม่? ที่ก่อนหน้านี้มีกระแสว่าภายในพรรคเพื่อไทยไม่ยอมรับในบทบาทของคุณหญิงสุดารัตน์ ซึ่งจากสถานการณ์ที่สอดรับกันของสองสถานการณ์นี้เอง อาจจะก่อให้เกิดผลที่น่าติดตามชนิดไม่ควรกะพริบตาใช่หรือไม่?
“...ปากรู้มากกว่าใจ ใช้การใหญ่มิได้...”
ขงเบ้ง จากเรื่องสามก๊ก (1994)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี