ปัญหาหนังสือแบบเรียนของนักเรียนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาถึงชั้นมัธยมศึกษาที่ผลิตล่าช้ามาก จนทำให้นักเรียนจำนวนมากมายของประเทศไทยไม่มีหนังสือประกอบการเรียน เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมายาวนาน และเป็นปัญหาซ้ำซาก ซึ่งไม่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการรายใดในช่วงเวลาประมาณ 30 ปีมานี้สามารถกำจัดให้ปัญหานี้หมดสิ้นไปได้อย่างสิ้นเชิง
สำหรับคนที่ติดตามปัญหานี้มาโดยตลอดจะสามารถระบุต้นตอของปัญหานี้ได้ทันทีว่าเกิดมาจากความไม่มีประสิทธิภาพขององค์การค้าของคุรุสภาในอดีต ซึ่งปัจจุบันแปลงโฉมเป็นองค์การค้าของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.)
สาธารณชนที่ติดตามปัญหาขององค์การค้าคุรุสภามาตั้งแต่ต้นจนกระทั่งแปลงร่างกลายเป็นองค์การค้า สกสค. ต่างให้ความเห็นสอดคล้องกันว่ามีปัญหาเรื้อรังมายาวนานมาก โดยเฉพาะปัญหาด้านการทุจริต แถมยังมีบุคคลบางกลุ่มทำตัวเสมือนมาเฟียในองค์กร แต่มาเฟียที่ว่านี้มิได้หากินเฉพาะในองค์กรเท่านั้น แต่กลับใช้อำนาจรัฐที่มีอยู่ไม่น่าจะมากนักไปกระทำการฉ้อฉลต่างๆ กับผู้ประกอบธุรกิจที่ต้องเกี่ยวข้องกับการพิมพ์หนังสือขององค์การค้าฯ(เรื่องฉ้อฉล และตบทรัพย์โดยมาเฟียในองค์การค้าฯ ต้องให้บรรดาเจ้าของโรงพิมพ์หนังสือ และผู้ค้ากระดาษพิมพ์หนังสือให้ข้อมูล รับรองว่าจะเห็นไส้ทุกขดในพุงของมาเฟีย ซึ่งเรื่องนี้หลายคนลงความเห็นว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการทุกยุคต้องรู้เรื่องเป็นอย่างดี แต่รู้แล้วจะมีปัญญากำจัดปัญหาให้หมดไปหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความตั้งใจทำงานเพื่อการศึกษาของบ้านเมือง หรือว่าขึ้นอยู่กับการแสวงหาเงินเพื่อเข้าพกเข้าห่อของตัวรัฐมนตรีเอง ทั้งนี้ผู้ให้ข้อมูลยังระบุด้วยว่าบางยุคนั้น มาเฟียก็คือคนของนักการเมืองที่เข้าไปมีอิทธิพลเหนือกระทรวงศึกษาธิการ แต่บางยุครัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการก็แสดงพฤติกรรมไม่ต่างไปจากมาเฟีย)
พูดถึงประเด็นความไร้ประสิทธิภาพขององค์การค้าฯ ในการจัดพิมพ์หนังสือแบบเรียนสำหรับนักเรียนทั่วประเทศ ดังปรากฏเป็นประจำว่ากว่าเด็กนักเรียนจะได้รับหนังสือแบบเรียนครบก็กินเวลาล่วงเลยไปจนเกือบจะหมดภาคการศึกษาแล้ว ปัญหาดังกล่าวนั้นทำให้สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ตัดสินใจลดโควตาสิทธิ์การพิมพ์หนังสือเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ที่ สสวท. เป็นเจ้าขอลิขสิทธิ์ลงจนเหลือ 70 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้กำไรที่องค์การค้าฯ เคยได้รับในแต่ละปีหดหายไปทันทีอย่างน้อยปีละ 200 กว่าล้านบาทแต่ประเด็นที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ กระทรวงศึกษาธิการได้พยายามทำความสะอาดองค์การค้าฯ เพื่อหวังให้ทุกอย่างขาวสะอาดมากกว่าเดิม แต่ดูเสมือนความพยายามของกระทรวงศึกษาฯ ไม่เคยสัมฤทธิ์ผล
กระทรวงศึกษาธิการพยายามจะแก้ปัญหาการขาดทุนสะสมและขาดทุนหมักหมมขององค์การค้าฯ รวมถึงพยายามหาทางล้างหนี้กองมหึมาหลายพันล้านบาทขององค์การค้าฯ ทั้งนี้มูลหนี้ที่เกิดขึ้นนั้นถูกคนที่รู้ทันระบุตรงกันว่าล้วนแล้วแต่เกิดมาจากการจงใจทุจริตของคนบางกลุ่มบางพวกที่เข้าไปพัวพันกับองค์การค้าฯ เมื่อองค์การค้าฯ สะสมหนี้สินไว้จนท่วมท้น และยังมีปัญหาการฉ้อฉลทุจริตไม่หยุดไม่หย่อน ก็จึงทำให้มีข่าวออกมาเป็นระยะๆ ว่ากระทรวงศึกษาธิการวางแผนยุบองค์การค้าฯ แต่ก็ได้แค่เพียงพูด เพราะรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงไม่สามารถทนแรงบีบและแรงต้านจากคนขององค์การค้าฯ ได้ในขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาฯ บางรายเจอไม้เด็ดจากคนขององค์การค้าฯ ว่าหากจะยุบ ก็จะต้องเจอแรงต้านจากพลังมวลชนขององค์การค้าฯ เมื่อถูกขู่เช่นนี้ ก็ทำให้รัฐมนตรีเจ้ากระทรวงต้องหุบปากไปโดยปริยาย
ขอให้ผู้อ่านพิจารณาตัวเลขหนี้สินขององค์การค้าฯ แล้วจะมีคำตอบในใจทันทีว่าอนาคตของหน่วยงานนี้จะไปในทิศทางใด
ช่วงก่อนที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะเข้ามามีอำนาจรัฐ พบว่าองค์การค้าฯ มีสถานะทางการเงินที่ง่อนแง่นมากที่สุด เพราะเป็นหนี้สูงประมาณ 7 พันล้านบาท ต่อมาในปี 2560 ยอดหนี้ลดลงเหลือ 3,900 ล้านบาท ซึ่งเป็นการติดหนี้สารพัดชนิด ทั้งค่าลิขสิทธิ์ ค่ากระดาษ และค่าจ้างการจัดพิมพ์
แล้วยังพบว่าองค์การค้าเป็นหนี้บริษัท ล็อกซ์เล่ย์ จำกัด ซึ่งบริษัทได้ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากการฝากขายหนังสือแบบเรียนกับองค์การค้าฯ เป็นเงิน 1,081 ล้านบาท ทั้งนี้ องค์การค้าฯ ยอมชำระให้บริษัทจำนวน 120 ล้านบาทเมื่อเดือนพฤษภาคม 2561 แล้วยังต้องชำระเงินให้บริษัทอีกเดือนละ 5 ล้านบาท ต่อเนื่องเป็นเวลา 6 ปี
นอกจากนี้องค์การค้าฯ ยังมีหนี้สินรุงรังกับธนาคารอีกหลายแห่ง อาทิ ธนาคารไทยพาณิชย์ 220 ล้านบาท ธนาคารกรุงศรีอยุธยา 255 ล้านบาท ธนาคารกรุงเทพ 131 ล้านบาท ธนาคารกรุงไทย 280 ล้านบาท โดยต้องเสียดอกเบี้ยอีกเดือนละ 5 ล้านบาท แต่ในอีกมุมหนึ่ง ก็พบว่าองค์การค้าฯ ยังมีลูกหนี้อยู่บ้าง โดยมีเงินที่ลูกหนี้ติดค้างอยู่ประมาณ 820 ล้านบาท ขณะที่องค์การค้าฯ มีเงินฝากในธนาคารเพียงประมาณ 59 ล้านบาทเท่านั้น ดังนั้น จึงสรุปได้ชัดเจนว่าสถานะทางการเงินขององค์การค้าฯ เลวร้ายมาก
นอกจากหนี้สินท่วมหัวแล้ว องค์การค้ายังมีภาระที่ต้องจ่ายเงินเดือนให้พนักงานเดือนละประมาณ 45-47 ล้านบาท (บางกระแสบอกว่าประมาณ 50 ล้านบาท)
ขอบอกตรงๆ ว่าหากจะพูดถึงปัญหาที่หมักหมมขององค์การค้าฯต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์ แต่สำหรับบทความในวันนี้จะขอสรุปเพียงว่า องค์การค้าฯ มีสถานะทางการเงินที่ย่ำแย่มากจนเกินจะเยียวยาแล้ว
ภาคเอกชนที่ทำธุรกิจกับองค์การค้ามักจะบ่นตรงกันว่า หากเลือกได้ก็ไม่อยากจะทำธุรกิจกับองค์การค้าฯ อีกต่อไป เพราะมองไม่เห็นอนาคต และการปฏิบัติตนขององค์การค้าฯ กับผู้ค้ารายใหญ่กับรายย่อยก็แตกต่างและเหลื่อมล้ำกันอย่างมาก ผู้ค้าหลายรายบอกว่าเวลาที่องค์การค้าฯ ประสบปัญหาขาดเงินหมุนเวียน ก็ต้องบีบให้ร้านค้าวางเงินมัดจำล่วงหน้า โดยต้องวางเงินมัดจำล่วงหน้าหลายเดือนกว่าจะได้รับหนังสือไปจำหน่าย จึงทำให้ร้านค้ารายเล็กๆ ไม่สามารถทำธุรกิจกับองค์การค้าฯ ได้ ร้านค้าเล็กๆ หลายรายต้องปิดกิจการไปเพราะไม่มีเงินทุน เจ้าของร้านขายหนังสือจึงเรียกร้องให้องค์การค้ายกเลิกระบบเก็บเงินมัดจำ แล้วให้ใช้ระบบซื้อมาขายไป เพื่อให้ร้านค้าได้รับความเป็นธรรมมากขึ้น
นี่คือข้อเท็จจริงที่สะท้อนมาจากเจ้าของร้านขายหนังสือที่ทำธุรกิจกับองค์การค้าฯ ส่วนปัญหาใหญ่อีกเรื่องหนึ่งที่สะท้อนด้วยเสียงอันดังกึกก้องจากนักเรียนทั่วประเทศคือ ได้รับหนังสือเรียนล่าช้ามาก ล่าช้าเกือบทั้งเทอม เรียนจนจะหมดเทอมแล้ว แต่ยังไม่ได้รับหนังสือเรียน ซึ่งปัญหานี้ยังคงเกิดขึ้นจนกระทั่งปัจจุบัน
ปัญหาเรื่องหนังสือเรียนล่าช้ากลายเป็นข่าวใหญ่ในสังคมไทยตลอดเวลา ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเดือนตุลาคม 2561 มีข่าวว่า สสวท. ประกาศตัดสิทธิ์องค์การค้า โดยไม่ให้พิมพ์หนังสือเรียนด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เพราะเกรงว่าองค์การค้าฯ ไม่สามารถส่งหนังสือให้นักเรียนได้ตามกำหนด
ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี (สสวท.) เคยให้สัมภาษณ์ตั้งแต่ปี 2561 ว่า ในช่วงกลางปีที่ผ่านมานั้น องค์การค้าฯ ส่งมอบหนังสือให้โรงเรียนไม่ทันเวลาเปิดภาคการศึกษา จึงก่อให้เกิดผลกระทบด้านลบต่อการเรียนการสอนในวงกว้าง ดังนั้น คณะกรรมการของ สสวท. จึงมีมติเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2561 ให้กระจายความเสี่ยงในเรื่องนี้ โดยให้ลดสัดส่วนลิขสิทธิ์การพิมพ์หนังสือขององค์การค้าฯ เป็น 70 เปอร์เซ็นต์ของต้นฉบับทั้งหมด และขอให้องค์การค้าฯ วางแผนดำเนินการในเรื่องดังกล่าวให้รัดกุม เพื่อป้องกันปัญหาการส่งมอบหนังสือล่าช้า ในขณะเดียวกัน สสวท. ได้ให้ลิขสิทธิ์กับสำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 30 เปอร์เซ็นต์ โดย สสวท. ได้แจ้งให้ทั้งองค์การค้าฯ และสำนักพิมพ์แห่งจุฬาฯ รับทราบแล้วตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2561 ซึ่งทางสำนักพิมพ์จุฬาฯ ได้ตอบรับเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว และได้ดำเนินการเลือกกระดาษพิมพ์เพื่อให้ สสวท. พิจารณาต้นฉบับเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ สสวท. มั่นใจว่าหนังสือตามหลักสูตรใหม่ของ สสวท. ที่ใช้สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาจะสามารถดำเนินการส่งมอบได้ทันเวลาตามกำหนดแน่นอน
ทั้งนี้ ชูกิจได้เคยให้ข่าวว่าในส่วนขององค์การค้าฯ ที่ได้รับสิทธิ์จัดพิมพ์ 70 เปอร์เซ็นต์ ในส่วนของหนังสือเรียนตามหลักสูตรเดิมทั้งหมด และหลักสูตรใหม่ของระดับประถมศึกษา แต่จนถึงขณะนี้สสวท. ยัง ไม่ได้รับการตอบรับจากองค์การค้าฯ เมื่อเวลาล่วงเลยไปมากแล้ว จนทำให้เกิดความเป็นห่วงว่าอาจจะเกิดปัญหาจัดส่งหนังสือให้โรงเรียนไม่ทันเวลา ดังนั้น ในช่วงปลายเดือนกันยายน 2561 สสวท. จึงทำหนังสือขอให้องค์การค้าฯ ยืนยันการรับสิทธิ์การพิมพ์ภายในวันที่ 5 ตุลาคม 2561 แต่กลับได้รับคำตอบว่า องค์การค้าฯ ต้องรอมติของคณะกรรมการ สกสค. ก่อน ในขณะที่ สสวท. ทราบถึงปัญหาภายในขององค์การค้าฯ ที่นำเสนอผ่านสื่อมวลชน จึงทำให้ สสวท. ไม่มั่นใจในการดำเนินงานขององค์การค้าฯ จึงเตรียมเสนอคณะกรรมการ สสวท. เพื่อพิจารณาผู้รับอนุญาตรายอื่นที่สามารถร่วมมือในการผลิต และส่งหนังสือได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ในวันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม 2561 เพราะถ้าหากเสนอคณะกรรมการ สสวท. ไม่ทัน จะส่งผลให้นักเรียนทั้งประเทศเกิดความสุ่มเสี่ยงที่จะไม่มีหนังสือเรียน สำหรับใช้ได้ทันช่วงเปิดภาคเรียนปี 2562
นี่คือปัญหาเก่าๆ ขององค์การค้าฯ ที่สาธารณชนรับทราบเป็นอย่างดี และได้ประสบกับปัญหาที่องค์การค้าฯ ได้เคยก่อไว้แล้วแต่มีคำถามทิ้งท้ายสำหรับวันนี้คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ เคยรับรู้ปัญหาการศึกษาของชาติในเรื่องนี้หรือไม่ แล้วณัฏฐพลแน่ใจหรือว่าจะสามารถแก้ปัญหาหมักหมมนี้ได้ เพราะการที่ณัฏฐพลประกาศว่าจะรับผิดชอบเรื่องนี้ ก็ไม่สามารถทำให้สาธารณชนไว้วางใจได้ เพราะสาธารณชนไม่เคยเชื่อว่านักการเมืองจะแสดงความรับผิดชอบได้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะเรื่องการศึกษาของประเทศด้วยแล้ว สาธารณชนประจักษ์มาโดยตลอดว่า ไม่สามารถไว้วางใจในคำพูดใดๆ ของนักการเมืองได้ เนื่องจากสัญญาของนักการเมืองเป็นแค่เพียงลมปาก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี