เมื่อวันที่ 15-17 มกราคม นี้ ผมได้รับเชิญให้ไปร่วมเวทีเสวนาในการเปิดตัวรายงานผลการสำรวจสถานะความเป็นไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือกล่าวทั่วไปคือ สถานะความเป็นไปในประชาคมอาเซียนประจำปี 2563 (The State of Southeast Asia: 2020) ซึ่งจัดทำโดย ศูนย์อาเซียนศึกษาในสังกัดของสถาบันการศึกษา ว่าด้วยเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยูซูฟ อิชัค (Asean Studies Centre at ISEAS (The Institute of Southeast Asian Studies) Yusof Ishak Institute) โดยเป็นการสำรวจความคิดเห็นของบุคคล 1,300 คน จาก 10 ประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียน ประกอบด้วย กลุ่มวิชาการ กลุ่มข้าราชการและกลุ่มการเมือง กลุ่มธุรกิจ กลุ่มสื่อ และกลุ่มองค์กรที่มิใช่รัฐ
หัวข้อการสำรวจหลักๆ คือ มุมมองในด้านความมั่นคงภูมิภาค อิทธิพลของประเทศมหาอำนาจและความเป็นผู้นำ ภูมิเศรษฐกิจและการรวมตัวภูมิภาค ภูมิรัฐศาสตร์ และสถาปัตยกรรมภูมิภาค การข้องแวะของสหรัฐอเมริกา และจีนในภูมิภาค มุมมองทัศนคติว่าด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจต่อกัน และพลังอำนาจแบบอ่อน (Soft Power)
ข้อความที่เด่นและสำคัญ (Highlight) มีดังนี้
1.เรื่องที่ชาวอาเซียนห่วงกังวลกันมากอันดับต้นๆ ก็คือ การไร้เสถียรภาพทางการเมืองภายใน การถดถอยของเศรษฐกิจ และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ
2.ข้อห่วงกังวลต่อความมั่นคงภูมิภาค คือ ความตึงเครียดใกล้จุดเดือดจากการขยายแสนยานุภาพทางทหารในภูมิภาคทะเลจีนตอนใต้ โดยเฉพาะบริเวณช่องแคบระหว่างจีนแผ่นดินใหญ่กับจีนไต้หวัน และคาบสมุทรเกาหลี ในขณะที่เรื่องการก่อการร้ายกลับเป็นข้อที่ชาวอาเซียนห่วงกังวลน้อยที่สุด
3.ผลประโยชน์จากการรวมตัวกันเป็นประชาคมอาเซียนนั้นดูจับต้องไม่ได้ หรือช่างห่างไกลจากพลเมืองอาเซียน
4.อาเซียนดูกลับกลายเป็นเวทีของการแข่งขันชิงดีชิงเด่นของประเทศมหาอำนาจ ในขณะที่ประเทศสมาชิกอาเซียนเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งของประเทศมหาอำนาจต่างๆ
5.ประชาคมอาเซียนดูจะไม่มีขีดความสามารถในการนำพา ในการร่วมมือกับความเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางการเมือง และการพัฒนาเศรษฐกิจที่ฉับไว
6.ผู้ตอบสำรวจประมาณ 1 ใน 3 เห็นว่าอาเซียนจะต้องไม่เลือกข้างในการต่อกรกันระหว่างสหรัฐอเมริกา กับจีน
7.ผู้ตอบอีกประมาณครึ่งหนึ่งเรียกร้องให้อาเซียนเสริมสร้างความแข็งแกร่งของตนเอง เพื่อกันมิให้สหรัฐอเมริกาและจีนเข้ามาบีบคั้น
8.การกระชับความเป็นหนึ่งเดียวถือเป็นเงื่อนไขสำคัญต่อความเป็นตัวของตัวเอง เพื่อที่อาเซียนจะได้ไม่ต้องตกอยู่ในหลุมของความขัดแย้งของประเทศมหาอำนาจ
9.ถ้าจำเป็นต้องเลือกข้างจริงๆ เสียงส่วนใหญ่นั้นต้องการให้อาเซียนไปกับสหรัฐอเมริกา
10.แต่ถ้าแยกคะแนนเป็นรายประเทศ ผล 7 ใน 10 ประเทศ กลับอยากเลือกจีนมากกว่า
11.จีนมีอิทธิพลต่ออาเซียนสูงสุดทุกด้าน และบทบาทนั้นเหนือกว่าสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างมาก
12.แต่การขยายอิทธิพลของจีนมากขึ้นเรื่อยๆ นั้น กลับไม่เป็นที่ประสงค์ และมักส่งผลให้การพัฒนาความสัมพันธ์ดิ่งลง
13.ความมั่นใจในสหรัฐอเมริกาอยู่ในระดับต่ำ และไม่มีความมั่นใจว่า สหรัฐอเมริกาจะเป็นหุ้นส่วนได้จริงจัง อีกทั้งบทบาทของสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ด้อยกว่าประธานาธิบดี บารัค โอบามา
14.ผู้ตอบสำรวจมีทัศนคติที่ดีต่อญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป และคิดว่าทั้ง 2 จะเป็นหุ้นส่วนที่ดีได้ ในเมื่อสหรัฐอเมริกาดูไม่ค่อยตอบสนอง สนอกสนใจอาเซียนอย่างจริงจัง
15.ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เป็นที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุด และเชื่อว่าญี่ปุ่นจะสามารถทำอะไรที่ถูกต้องได้ เพื่อความดีงามของมวลโลก รองลงมาก็คือ สหภาพยุโรป รองลงไปก็คือ สหรัฐอเมริกา จีน และอินเดีย
16.ญี่ปุ่นก็ดูจะดำรงความสัมพันธ์โดยใช้พลังแบบอ่อน (Soft Power) เช่น การท่องเที่ยว การศึกษา การเรียนการสอนภาษา
17.สหรัฐอเมริกามีความโดดเด่นในเรื่องพลังแบบอ่อน โดยเฉพาะในเรื่องอุดมศึกษา
18.สหภาพยุโรปมีศักยภาพที่จะข้องแวะกับอาเซียน แม้จะมีปัญหาเรื่องราวภายใน แต่ก็เป็นที่ชื่นชมในเรื่องการเคารพกฎหมายกติกา และเปิดการค้าเสรี
19.สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกา กับจีนมีผลกระทบในทางลบต่อโลก จนทำให้การค้าโลกถดถอย
20.ข้อตกลงว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจแบบเบ็ดเสร็จ (Regional Comprehensive EconomicPartnership – RCEP) ไม่ควรต้องจำกัดอยู่แค่ประเทศในภูมิภาค แต่ควรเปิดประตูให้ประเทศนอกภูมิภาคอื่นๆ ด้วย
21.กลุ่มบริษัทซัมซุงของเกาหลีใต้ เป็นที่เชื่อถือในเรื่องการรองรับ 5G แต่สำหรับลาว กัมพูชา และมาเลเซีย กลับชื่นชอบเทคโนโลยีของจีนมากกว่า
และในการร่วมอภิปราย ผมได้ให้ข้อสังเกตว่า มีความประทับใจต่อองค์ความรู้ของผู้เข้าร่วมสำรวจทั้ง 1,300 คน ซึ่งมีความคล้ายคลึงกันของมุมมองต่อประเด็นปัญหาของอาเซียนทั้งความเป็นไปภายใน และความสัมพันธ์กับโลกภายนอก โดยเฉพาะกับประเทศมหาอำนาจต่างๆ
ผลสำรวจนี้สามารถใช้เตือนสติต่อบรรดาผู้นำอาเซียนทั้ง 10 ประเทศว่า จะต้องปรับปรุงวิสัยทัศน์ และความมุ่งมั่นในการทำงานเพื่อส่วนรวมของอาเซียน อีกทั้งผลสำรวจก็เป็นการส่งสัญญาณ
ให้กับประเทศมหาอำนาจว่า จะปรับตัว ปรับกระบวนยุทธ์อย่างไร เพื่อกระชับความสัมพันธ์กับอาเซียน และไม่เป็นตัวปัญหากับอาเซียน
ในขณะเดียวกัน ฝ่ายการเมืองและฝ่ายข้าราชการประจำของอาเซียน ก็จะต้องไม่มุ่งกุมอำนาจไว้ในมือ แต่ต้องกระจายบทบาทไปให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรง คือพลเมืองอาเซียนให้มากที่สุดและโดยเร็ว อาเซียนถึงจะเป็นองค์กรของประชาชนที่ประชาชนเป็นแกน และฉะนั้น ก็จะเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่ง และความเป็นอันหนึ่งอันเดียว ซึ่งจะอำนวยให้อาเซียนสามารถมีบทบาทเป็นแกน และผู้ขับเคลื่อนความเป็นไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และคาบมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิกได้อย่างจริงจัง
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี