ในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของโลกประมาณ 500 กว่าปีที่ผ่านมาหากพูดถึงประเทศเจ้าตำรับแห่งการแบ่งปันกระจายอำนาจรัฐและให้มีการถ่วงดุล คาน ตรวจสอบ กันไปมา ก็คงต้องนึกถึงประเทศสหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา เป็นสำคัญ
สหราชอาณาจักรนั้นได้ยุติระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และกำหนดให้ “กษัตริย์” แบ่งปัน (หรือแชร์) อำนาจรัฐ กับฝ่ายขุนนาง เจ้าของที่ดิน เจ้าของธุรกิจ พ่อค้าวาณิช ในขณะที่สหรัฐอเมริกาเริ่มต้นประชาธิปไตยด้วยการรวมตัวกันของ 13 มลรัฐ (ในขณะนั้น)ทำการปลดแอกจากกษัตริย์อังกฤษ และประกาศตนเป็นเอกราช โดยตั้งตนเป็นประเทศสาธารณรัฐ (Republic) ภายใต้ชื่อ “สหรัฐอเมริกา”
ระบอบการเมืองการปกครองของทั้ง 2 ประเทศ เป็นแบบประชาธิปไตย โดยมีพรรค หรือกลุ่มการเมืองเป็นกลไกสำคัญ ที่ทำการแข่งขันกันเพื่อจะเป็นฝ่ายรัฐบาล ทำการบริหารประเทศ ในขณะที่ฝ่ายพ่ายแพ้การเลือกตั้งจะต้องทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน คอยตรวจสอบการทำงานของฝ่ายรัฐบาล หรือกล่าวอีกอย่างว่าการเมืองแบบประชาธิปไตยที่มีฝ่ายเสียงข้างมากกับฝ่ายเสียงข้างน้อยแต่ละฝ่ายจะผลัดกันเป็นฝ่ายรัฐบาล และเป็นฝ่ายค้าน ก็อยู่ที่การตัดสินใจของประชาชนพลเมืองผ่านการเลือกตั้ง (หรือการหย่อนบัตรโดยตรง)
แต่อย่างไรก็ตาม ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านในรัฐสภา หรือสภาคองเกรส (ในกรณีของสหรัฐอเมริกา) ก็มิได้มีอำนาจเบ็ดเสร็จเพราะนอกจากถูกคานอำนาจด้วยฝ่ายค้านแล้วก็จะต้องถูกตรวจสอบและคานอำนาจ โดยฝ่ายตุลาการด้วย
ในทั้ง 2 ประเทศ ตัวจักรกลสำคัญคือ บรรดาพรรคการเมือง
กรณีของสหราชอาณาจักรนั้นเป็นระบบรัฐสภา คือหลังจากพรรคได้เสียงข้างมากจัดตั้งคณะรัฐบาล พรรคก็ยังกำกับอยู่เบื้องหลังกล่าวคือ นายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักร เป็นผู้แทนราษฎร และเป็นหัวหน้าพรรค ที่กุมชัยชนะเลือกตั้ง
ส่วนในกรณีของสหรัฐอเมริกา มีการแยกกันระหว่างฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ (สภาคองเกรส) และฝ่ายตุลาการ อย่างค่อนข้างชัดเจนกว่า เพราะหัวหน้าฝ่ายบริหาร คือประธานาธิบดีนั้นมาจากการเลือกตั้งโดยตรงโดยประชาชนพลเมือง มิต้องผ่านสภาคองเกรส
สภาคองเกรสของสหรัฐอเมริกาซึ่งมี 2 สภา คือสภาสูง(วุฒิสภา) ซึ่งเป็นตัวแทนมลรัฐ และสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นตัวแทนประชาชนพลเมือง เสียงส่วนใหญ่ในทั้งสองสภาอาจเป็นคนละพรรคกับตัวประธานาธิบดีก็ได้ เช่นเดียวกับปัจจุบัน ที่พรรครีพับลิกันของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีเสียงข้างมากในสภาสูง แต่กลับมีเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งก็เท่ากับว่าสภาคองเกรสโดยรวม จะทำหน้าที่เป็นผู้ถ่วงดุล คานอำนาจ และตรวจสอบ ประธานาธิบดีอย่างหนักหน่วง เข้มข้น มากกว่ากรณีที่พรรคของฝ่ายประธานาธิบดี กุมเสียงข้างมากได้ทั้งใน 2 สภา
ความขัดแย้งว่าด้วยตัวบทกฎหมาย การปฏิบัติ หรือไม่ตามกฎหมาย ไม่ว่าจะโดยตัวประธานาธิบดี หรือคณะรัฐบาล จะถูกดำเนินการไต่สวนโดยสภาคองเกรส เพื่อนำไปฟ้องร้อง และหาข้อยุติกันที่ฝ่ายตุลาการ
จึงอาจจะกล่าวได้ว่า หลักการแบ่งแยก การถ่วงดุล การคานอำนาจ ด้วยการตรวจสอบของสหรัฐอเมริกา นั้นมีความเฉียบขาด (clear cut) มากกว่าระบอบรัฐสภาโดยทั่วๆ ไป
แต่ในทางปฏิบัติที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน กลับดูตรงกันข้ามเพราะประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ดูเหมือนจะสามารถบริหารราชการปฏิบัติตนเยี่ยงเป็นผู้นำที่มาจากประเทศเผด็จการ (Authoritarian)คือสามารถตัดสินใจทำอะไรได้อย่างคล่องตัว ได้อย่างสะดวก การถ่วงดุล ตรวจสอบ โดยสภาคองเกรส และฝ่ายตุลาการ ไม่รู้ว่าหายไปไหน ทำไมถึงปล่อยให้เป็นกันอย่างนี้ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ฝ่ายผู้แทนราษฎร และฝ่ายวุฒิสภาไม่รู้ว่ามัวแต่ทำอะไรกันอยู่ เหตุใดจึงไม่ “เล่น” บทบาทของตนให้เต็มที่
ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ผมได้มีโอกาสไปร่วมฟังการบรรยายและอภิปรายด้านวิชาการที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง โดยมีผู้บรรยายพิเศษเป็นศาสตราจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกาผมจึงได้ตั้งคำถามดังกล่าวต่อท่านศาสตราจารย์ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสหรัฐอเมริกาที่เป็นเจ้าตำรับประชาธิปไตยของการคานถ่วงดุล และตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐที่ขึ้นชื่อของโลกกันแน่ จึงปล่อยให้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ บริหารงานตามอำเภอใจเช่นนี้
ซึ่งท่านศาสตราจารย์ก็ได้กรุณาให้คำตอบ ให้คำชี้แจงจากข้อสังเกต และมุมมองของท่านอย่างน่าสนใจ สมเหตุสมผลว่า
ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สามารถแสดงบทบาทเป็นผู้นำอย่างเด็ดขาด และลอยตัวได้ ก็ด้วย 2 เหตุผลด้วยกัน นั่นคือ
1. เศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศ
2. ความมั่นคงและการต่างประเทศ
โดยเหตุที่โลกเห็นว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สามารถตัดสินใจใน 2 เรื่องดังกล่าวอย่างอิสระ นั่นก็เพราะโดยทั่วไปแล้วทางฝ่ายสภาคองเกรสนั้นมักสนใจเรื่องผลประโยชน์ภายในประเทศเป็นหลัก เมื่อเจอกับแนวคิดแบบปิดกั้นการค้าขาย (Protectionism)ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีความคิดอ่าน มีนโยบาย และมาตรการที่จะรักษาตลาดสหรัฐฯ มิให้ประเทศใดมาเอารัดเอาเปรียบโดยเอาสหรัฐอเมริกาเป็นตัวตั้ง (American First) ไม่สนใจประโยชน์ร่วมของนานาชาติ ซึ่งนโยบายนี้เข้าทางความคิดอ่าน ทัศนคติของฝ่ายสภาคองเกรส (ส่วนใหญ่อยู่แล้ว) ก็เลยปล่อยให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ว่ากันไปตามสะดวก
และในประเด็นการต่างประเทศ และความมั่นคงระหว่างประเทศก็เช่นกัน ฝ่ายคองเกรส มักจะเป็นตัวสะท้อนความนึกคิดของคนอเมริกันทั่วไป ซึ่งระยะหลังได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่อยากให้สหรัฐอเมริกาเข้าไปยุ่มย่ามในเวทีโลกมากนัก อยากจะให้อเมริกาโดยรวมอยู่เฉยๆ ไม่ต้องไปเกี่ยวข้อง (Isolationist) กับชาวบ้านชาวช่อง อันเป็นผลมาจากการที่ตลอดประวัติศาสตร์อันสั้นของสหรัฐอเมริกานั้น สหรัฐอเมริกาต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสงครามระหว่างประเทศต่างๆ มากมาย แม้จะได้รับชัยชนะเกือบทุกครั้ง (ยกเว้นสงครามเวียดนาม) แต่ทุกครั้งก็สูญเสียทั้งชีวิตผู้คนงบประมาณอย่างมหาศาล แถมสหรัฐอเมริกายังเสียภาพพจน์ ถูกตราหน้าจากนานาชาติว่าเป็นจอมแทรกแซง ชอบทำตัวเป็นตำรวจโลก
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้าใจจุดนี้ดี จึงประกาศนโยบายมุ่งการลดกำลังทหารในจุดประทุ จุดระเบิดของโลกต่างๆ เพื่อเอาใจชาวอเมริกันที่อ่อนไหวต่อการสูญเสียชีวิตของทหารชาติตน ซึ่งส่งผลให้สภาคองเกรสปล่อยปละละเลยในเรื่องการต่างประเทศ (ทั้งการค้าขาย และความมั่นคง) ทำให้บทบาทของประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์ ในเรื่องต่างประเทศมีความเป็นอิสระ ไม่ค่อยถูกตรวจสอบเท่าที่ควร
อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่ค้างคาอยู่ในอิรัก ในซีเรีย ในอัฟกานิสถานในเยเมน ในอ่าวเปอร์เซีย และคาบสมุทรเกาหลี เป็นต้น ได้ผลักดันให้สภาคองเกรสเริ่มไหวตัว กลับมาให้ความสนใจในทำนองอยากมีส่วนร่วมด้วยในการตัดสินใจของประธานาธิบดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดปัญหากับอิหร่านครั้งล่าสุด ยิ่งทำให้ตระหนักว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นั้นมีการตัดสินใจที่โลดโผน (Adventurous) มากเกินไป
ทางสภาคองเกรสจึงได้ลงมติ (แบบไม่บังคับหรือผูกมัด)ให้มีการบอกกล่าวหารือกันมากยิ่งขึ้น อีกทั้งก็เริ่มมีแนวโน้มที่จะนำเรื่องราวไปหารือ หรือฟ้องร้อง เพื่อให้มีการตัดสินใจร่วมกันระหว่างฝ่ายบริหาร กับฝ่ายนิติบัญญัติ แต่ก็มิใช่ว่าเรื่องทั้งหมดต้องไปยุติที่ศาล ทางฝ่ายสภาคองเกรสเองก็ต้องเพิ่มความสนอกสนใจในเรื่องการต่างประเทศต่างๆ ทั้งหมด มิใช่แค่เพื่อตรวจสอบ ถ่วงดุล แต่เพื่อร่วมรักษาผลประโยชน์และสถานะของสหรัฐอเมริกาโดยรวมด้วย
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี