โศกนาฏกรรม การกราดยิงประชาชน ปล้นค่ายทหาร และการปะทะกับเจ้าหน้าที่ ที่จังหวัดนครราชสีมา เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังคงทิ้งบาดแผลในใจชาวนครราชสีมา โดยเฉพาะครอบครัวของผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตถึงความโหดร้ายที่ผิดแปลกไปจากเหตุการณ์ความรุนแรงในอดีตแม้รัฐบาลจะสามารถแก้ปัญหาได้ คำถามหนึ่งที่ยังคงคาใจประชาชนชาวไทยคือ เรื่องของแรงจูงใจในการกระทำของคนร้าย แต่ที่มากไปกว่านั้นภาครัฐเองก็ต้องกลับมาทบทวนถึงงานความมั่นคง และมาตรการในการจัดการภัยคุกคามจากการก่อเหตุลักษณะเช่นนี้
ท่ามกลางความวุ่นวายที่เกิดขึ้น เราเห็นสังคมไทยกำลังตั้งคำถามถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนที่ฝากไว้ในมือของผู้บังคับใช้กฎหมาย เราเห็นคนไทยยังคงมีความเสียสละเพื่อสังคมในเหตุการณ์ที่ผ่านมา และที่สำคัญเราได้เห็นว่าใครเป็นผู้จัดการภาวะวิกฤติได้ดี บุคคลหนึ่งที่ได้ยกเป็นวีรบุรุษในเหตุการณ์นี้คือ ผบ.ตร. พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ที่ไปถึงที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว ลงพื้นที่บัญชาการปฏิบัติตั้งแต่เหตุการณ์เริ่มจนสิ้นสุด นอกจากความสามารถที่เป็นที่ประจักษ์แล้ว อีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญคือความเป็นผู้นำที่ส่งผลขวัญและกำลังใจผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่ในพื้นที่ หลังจากเหตุการณ์คลี่คลายลง ก็มีเสียงชื่นชม ผบ.ตร. ถึงความทุ่มเทในการแก้ไขสถานการณ์ในครั้งนี้
และแม้อาจมีเสียงที่เริ่มติติงถึงบทบาทหน้าที่ของ ผบ.ทบ. พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ที่ลงไปที่เกิดเหตุเช่นกัน ส่วนหนึ่งตั้งคำถามว่าทำไมไม่มีบทบาทในการช่วยเหลือ รวมถึงทำไมในค่ายทหารถึงมีความหละหลวมของระบบรักษาความปลอดภัยในการเข้าถึงคลังอาวุธ เรื่องนี้ ผบ.ทบ. ได้ออกมาแถลงขอโทษสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และอธิบายสาเหตุต่างๆ แต่สิ่งหนึ่งที่สังคมต้องรับรู้รับทราบคือในขณะนี้กำลังทหารไม่สามารถออกมาปฏิบัติการได้หากไม่ได้รับการร้องขอจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งอาจเป็นช่องว่างที่ต้องหาทางแก้ไขต่อไป ในภาวะฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นได้
หลังจากเหตุการณ์โศกนาฏกรรมดังกล่าว มีทั้งเสียงชื่นชม ให้กำลังใจรัฐบาล และวิพากษ์การทำงานของรัฐบาลและกองทัพ โดยฝ่ายการเมืองก็เช่นกัน อย่างสส.พรรคฝ่ายค้านบางคน ได้กล่าวถึงกรณีกราดยิงที่เกิดขึ้น มีการเรียกร้องให้ผบ.ทบ.และแม่ทัพภาค 2 ลาออกจากตำแหน่งเพื่อแสดงความรับผิดชอบ เพราะต้นเหตุของทั้งหมดมาจากการคอร์รัปชั่นในค่ายทหารจนนำไปสู่ความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงและทำให้เกิดความสูญเสียของผู้บริสุทธิ์เป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้เหตุการณ์การปล้นคลังอาวุธของกองทัพก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งในสามจังหวัดชายแดนใต้ ดังนั้นจึงต้องมีการดำเนินการแก้ไขในเรื่องนี้อย่างจริงจัง ซึ่งก็มีกระแสตีกลับไม่น้อยว่าเรื่องการก่อวินาศกรรมที่จังหวัดนครราชสีมาเป็นคนละเรื่องกับปัญหาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้และการเรียกร้องให้ลาออกเป็นเพียงการกระทำเพื่อเล่นการเมืองหรือไม่? เพราะช่วงนี้ใกล้จะมีการอภิปรายใหญ่
นอกจากนั้นแล้วยังมีเรื่องการวิจารณ์พฤติกรรมนายกฯ ที่ขุนพลเพื่อไทยอย่างนายพิชัย นริพทะพันธุ์ ได้ออกมาติงถึงพฤติกรรมนายกฯว่าไม่เหมาะสม แนะให้ดูผู้นำต่างชาติปฏิบัติตัวอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้
แต่ที่สุดก็ยังไม่เห็นพรรคการเมืองใดออกมากระตุ้นให้เกิดการแก้ไข และวางมาตรการรับมืออย่างเป็นรูปธรรม มีเพียงรัฐบาลโดยสตช.กองทัพ และกระทรวงต่างๆ ที่เดินหน้าลงพื้นที่ช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัย และหาแนวทางการระวังป้องกันในระยะยาวต่อไป พรรคการเมืองหลายพรรคโดยเฉพาะพรรคร่วมฝ่ายค้านก็ยังคงมุ่งเน้นไปที่การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในช่วงปลายเดือนนี้ โดยมีการปูพื้นเรื่องนี้ด้วยประเด็นเศรษฐกิจ
โดยนายการุณ พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจประเทศไทยกำลังเข้าสู่วิกฤติเต็มรูปแบบ เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดับสนิททุกเครื่อง ท่องเที่ยว ส่งออก การค้า การลงทุน รวมไปถึงการใช้จ่ายภาครัฐที่มีปัญหา ซึ่งเป็นการเปิดประเด็นที่ค่อนข้างโดนในเรื่องปากท้องของประชาชน แต่ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่าประเด็นในการอภิปรายจะออกมาในรูปแบบใด? เพราะเรื่องที่เป็นข้อโจมตีรัฐบาลอย่างเรื่องการเสียบบัตรแทนกันก็ได้สิ้นสุดลงหลังศาลรัฐธรรมนูญ มีมติว่าร่างพ.ร.บ.งบฯ 63 ไม่ได้ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ แต่การที่สส.ลงมติแทนผู้ที่ไม่ได้อยู่ร่วมการประชุมด้วยนั้นถือเป็นการลงคะแนนที่ไม่สุจริต ดังนั้นจึงให้สภาโหวต ร่างพ.ร.บ.งบฯ วาระที่ 2 และ 3 ใหม่ ซึ่งนายนิกร จำนง ได้เปิดเผยว่า วิปรัฐบาลจะมีการหารือเรื่องวันเวลาการโหวตพ.ร.บ.งบฯกันในวันที่ 13 นี้ก่อนการประชุมสภาฯ
ทั้งนี้นายนิกรก็พูดประเด็นที่น่าสนใจว่าการโหวตใหม่เป็นเรื่องที่ตนเห็นว่าสมควรทำอยู่แล้ว แต่การอภิปรายใหม่นั้นอาจจะไม่ควรมาพูดกันใหม่ เพราะร่างงบประมาณดังกล่าวไม่ได้มีปัญหาที่เนื้อหาสาระ พร้อมทั้งก่อนการลงมติก็ได้มีการอภิปรายร่างดังกล่าวไปแล้ว ซึ่งน่าคิดว่าหากมีการขออภิปรายใหม่จำเป็นหรือสมควรหรือไม่? เพราะอย่างที่นายนิกรกล่าวว่าเรื่องร่างพ.ร.บ. มีปัญหาที่วิธีการของการออกกฎหมายไม่ใช่ที่เนื้อหาสาระของร่าง และหากดูคำพิพากษาของศาลรธน. ก็เป็นข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนแล้วว่าอะไรเป็นปัญหา
แต่อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของประธานสภาด้วย กระแสจากฝ่ายค้านโดยมีพรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ พรรคเพื่อชาติ และพรรคเสรีรวมไทย ได้แสดงจุดยืนว่าเซ็นชื่อเข้าประชุมแต่จะไม่ร่วมสังฆกรรมกับการโหวตครั้งนี้ด้วย แต่พรรคอนาคตใหม่ยังไม่มีท่าทีอะไรเนื่องจากต้องกลับไปพิจารณากันอย่างรอบคอบอีกครั้ง อาจมีคนมองว่า เพราะการตัดสินคดีของพรรคอนาคตใหม่ในวันที่ 21 ก.พ. นี้ ซึ่งจะเกิดขึ้นก่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เท่ากับว่าพรรคอนาคตใหม่เองอาจจะเหลือเพียงเวทีในการสร้างแรงกระเพื่อมอีกครั้งหรือไม่ ในการเปิดให้อภิปรายร่างพ.ร.บ.งบประมาณก่อนการลงมติในวาระที่ 2 และ 3 เท่านั้น ซึ่งก็ต้องจับตามองต่อไปว่าจะออกมาในรูปแบบใดหากสุดท้ายเหลืออยู่พรรคเดียว?
ล่าสุดในวันที่ 11 ก.พ. พรรคอนาคตใหม่นำโดยนายปิยบุตร แสงกนกกุล ยังไม่สิ้นความพยายามที่จะต่อลมหายใจ โดยได้มีการยื่นศาลรัฐธรรมนูญขอเปิดการไต่สวนคดีกู้เงินให้ศาลฯเรียกสอบพยานเพิ่ม หวังจะมีการเลื่อนวันตัดสินคดี?เพื่อให้ได้เข้าไปทำหน้าที่อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯและรัฐมนตรีอีก 5 รายหรือไม่?
ในขณะที่นายสุทิน คลังแสง ประธานกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน ได้แสดงถึงความไม่กังวลหากพรรคอนาคตใหม่ถูกตัดสินยุบพรรคและคาดว่าจะไม่กระทบถึงการอภิปรายที่เตรียมเอาไว้แม้จะมีกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่อยู่ในนั้นถึง 3 คน หากเป็นเช่นนี้พรรคอนาคตใหม่อาจออกมาอภิปรายนอกสภาตามที่นายธนาธรพูดไว้หรือไม่? หรือจะมีการเรียกประชาชนผู้สนับสนุนให้ออกมาชุมนุมต่อต้านรัฐบาลในที่สาธารณะอีกครั้ง?
หากเป็นเช่นนี้ฝ่ายรัฐบาลจะดำเนินการเช่นไรเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนทั้งรูปแบบการตอบโต้ข้อเท็จจริงในสภาฯ และการควบคุมสถานการณ์ภายนอกที่อาจเกิดขึ้นจากการชุมนุมของพรรคอนาคตใหม่? และมีกระแสข่าวว่าอาจมีการปรับครม. เนื่องมาจากสัดส่วนพรรคร่วมรัฐบาลที่เปลี่ยนไป รัฐบาลจำเป็นต้องจัดกระบวนทัพให้เหมาะสมกับตำแหน่งที่นั่ง และอาจต้องให้คนที่มีความรู้ความสามารถเหมาะสมได้มาปฏิบัติหน้าที่การบริหารประเทศ เพื่อป้องกันการตีรวนกันเองในฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาลและลดแรงปะทะจากความไม่พอใจของประชาชนได้ไม่มากก็น้อย...
“คนเสเพล ปีศาจสุรา มิเห็นที่ใดไม่ดี นั่นยังประเสริฐกว่าวิญญูชนจอมปลอม
สวมหน้ากากออกหลอกลวงมากมายนัก หรือมิใช่ ?”
คำคมโกวเล้ง จากรำพึงในค่ำคืน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี