เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563 ที่พรรคเพื่อไทย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรค พร้อมด้วย นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัยผู้อำนวยการพรรค และอีกหลายคน ร่วมกันต้อนรับอดีตสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ 5 คน ประกอบด้วย นายประเสริฐ ทองนุ่น อดีตสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (สก.) เขตบางกะปิ พร้อมทีมอดีตสมาชิกสภาเขตกรุงเทพมหานคร (สข.) เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ จำนวน 4 คน
คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวต้อนรับ นายประเสริฐทองนุ่น ว่า เป็นคนทำงานติดพื้นที่มาโดยตลอด และได้รับการไว้วางใจจากประชาชนเป็น สก.เขตบางกะปิ และมีผลงานการพัฒนาพื้นที่อย่างนับไม่ถ้วน เช่น การปรับปรุงถนนกว่า 50 กว่าสาย ในเขต, การสร้างเขื่อนระบายน้ำป้องกันน้ำท่วม, การทำสนามเด็กเล่น และลานออกกำลังกายกว่า 20 แห่งตามชุมชน หมู่บ้านต่างๆ โดยการที่นายประเสริฐ เข้ามาร่วมงานกับเรา จะเป็นการเสริมกำลังภาคกรุงเทพมหานคร ในศึกการเลือกตั้งท้องถิ่นที่จะถึงนี้ โดยประวัติของนายประเสริฐ ทองนุ่น ก่อนทำงานการเมืองนั้น เคยเป็นอดีตผู้อำนวยการเขตบางกะปิ มาก่อน และเติบโตมาในสายของกรุงเทพมหานคร ทำให้เข้าใจระบบการทำงานเป็นอย่างดี
จากนั้นนายประเสริฐ ทองนุ่น ให้สัมภาษณ์สาเหตุที่ย้ายพรรค ว่ามีความลำบากใจที่เคยหาเสียงในช่วงเลือกตั้งสส.เพราะเคยรับปากกับประชาชนว่าพรรคตนจะไม่จับมือ และสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่มาถึงวันนี้พรรคของตนได้ตระบัดสัตย์ ทำให้ตนรู้สึกผิดหวัง และจะไม่ขอทำผิดสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนอีกต่อไป โดยตนได้พบเจอกับนายตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส อดีตผู้สมัคร สส.เขตบางกะปิ หลายครั้งด้วยกันตามงานในพื้นที่ ทั้งก่อนและหลังเลือกตั้ง ได้เห็นว่าเป็นคนรุ่นใหม่ ขยันลงพื้นที่ และรักษาอุดมการณ์ จึงเป็นที่มาของการย้ายพรรคในครั้งนี้
ผมอ่านข่าวนี้แล้ว รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล กล่าวคือ
1.พรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมกับรัฐบาลตั้งนานแล้ว ทำไมคณะบุคคลชุดนี้เพิ่งมารู้สึกแบบนี้ (วะ)
2.สืบจากผู้เกี่ยวข้องในเขตบางกะปิ จึงทราบว่า ย้ายออกมากันก่อนหน้านี้แล้ว เพิ่งจะมา “ทำพิธี” ต้อนรับกัน
3.ชัดเจนว่านี่เป็นการ “เล่นการเมือง” สไตล์“สุดารัตน์” และศิษย์เอกผู้แทบจะถอดแบบกันมา คือ “ปุ๊น” นายตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส ซึ่งล้าสมัยไปแล้ว และเป็นวิธีเล่นการเมืองที่สมควรได้รับการ “ซัก” ให้สะอาด
4.การอ้างเรื่อง “ตระบัดสัตย์” ในการเข้าร่วมรัฐบาล แล้วถึงขั้นกระโจนไปอยู่พรรคต่างขั้วอย่างพรรคเพื่อไทย เป็นเรื่องประหลาด เพราะหากอดีตคนทำงานของ ปชป. ชุดนี้ มีอุดมการณ์แบบ ปชป. จริง ไม่น่าเลือกย้ายมาพรรคนี้ในยุค “คุณหญิงคนนี้” เป็นแกนนำแน่ๆ
ต่อมา 18 กุมภาพันธ์ 2563 นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่มีอดีต สก. สข. ของพรรคฯ ย้ายไปอยู่พรรคเพื่อไทย ว่า พรรคประชาธิปัตย์เคารพการตัดสินใจ และมุ่งมั่นเดินหน้าทำงานให้กับพี่น้องประชาชนต่อไป ขณะนี้มีหลายโครงการที่พรรคฯ ขับเคลื่อนได้ประสบผลสำเร็จแล้ว อย่างเช่น โครงการประกันรายได้พี่น้องเกษตรกร โครงการบ้านมั่นคงซึ่งช่วยเหลือประชาชนที่ลำบากเรื่องที่อยู่อาศัยให้ได้รับประโยชน์ และกำลังได้รับคำชื่นชมจากประชาชนมาก นอกจากนี้ พรรคประชาธิปัตย์ ยังเป็นพรรคที่ชูธงในเรื่องการทวงคืนกฎหมายให้สมาชิกสภาเขต (สข.) กลับคืนมาทำงานให้กับพี่น้องชาว กทม. และร่างกฎหมายดังกล่าวอยู่ในสภาเรียบร้อยแล้ว
“สำหรับการเข้าร่วมรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งถือเป็นเสียงส่วนใหญ่ของสมาชิก ทั้งเสียงจาก สส. และประชาชนในพื้นที่ ที่อยากให้พรรคเข้าไปเพื่อผลักดันนโยบายที่สำคัญเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนและได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าผลสำเร็จนั้นเกิดขึ้นกับประชาชน ซึ่งถือว่าเป็นความซื่อสัตย์ต่อความทุกข์ร้อนของพี่น้องประชาชน”
นายราเมศกล่าวอีกว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ตระบัดสัตย์ต่อประชาชน ไม่เคยอ้างคะแนนเสียงเพื่อเข้าไปโกงกินงบประมาณแผ่นดิน พรรคไม่เคยใช้โอกาสตอนหาเสียงบอกจะทำเพื่อประชาชนแต่เมื่อเข้าไปเป็นรัฐบาลกลับหมดสำนึกแล้วทำเพื่อตนเองและพวกพ้อง คิดคดทุจริตแต่ละโครงการเพื่อให้ได้ประโยชน์กันเป็นแสนๆ ล้าน พรรคไม่เคยซื้อเสียงจนถูกยุบพรรค คนในพรรคไม่เคยโกงจนติดคุก หรือหนีไปต่างประเทศ พรรคไม่เคยพยายามออกกฎหมายล้างผิดช่วยคนเผาบ้านเผาเมืองคนที่คดโกงประเทศ พรรคไม่เคยมีนโยบายเพื่อโกงเงินแผ่นดินมากที่สุดเกือบ 1 ล้านล้านบาท อย่างโกงชาวบ้านในโครงการรับจำนำข้าว พรรคไม่แบ่งแยกประชาชนแต่มุ่งพัฒนาทุกจังหวัดอย่างเท่าเทียมกัน
“ขณะที่สิ่งที่กล่าวมานี้ กลับมีพรรคการเมืองหนึ่งได้ทำมาแล้วทั้งหมดเพราะคิดคดและทรยศต่อประชาชนเชื่อว่าคนที่มีจิตสำนึกจะคิดได้เองว่าความดีกับความเลวนั้นต่างกันอย่างไร คำว่าตระบัดสัตย์ต่อประชาชน คำว่าทรยศต่อประชาชน คนดีจะเข้าใจความหมายได้เป็นอย่างดี”นายราเมศ กล่าว
นับเป็นการตอบโต้ที่เผ็ดร้อนสไตล์ประชาธิปัตย์ แต่ในความเห็นผม เรื่องนี้เป็นเรื่อง “เกินจำเป็น”
1.คนที่ออกไปในกลุ่มนี้ ไม่มี “เครดิตทางสังคม” สูงนัก ไม่เป็นข่าวดัง ผ่านไปสองสามวันก็เงียบฉี่ ไม่ควรให้ราคา การลงมาเล่นด้วย ทำให้ “ได้ราคา” ขึ้นมาสมความตั้งใจ
2.ควรอ่านออกว่า เป็นเกมของคุณหญิงสุดารัตน์และคณะ ที่หมายชิงพื้นที่ข่าว อุ่นเครื่องการเลือกตั้งท้องถิ่น และยืมปากอดีตสมาชิก ปชป. กลุ่มนี้ บั่นทอนความน่าเคารพของพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยการเล่นกับคำว่า “ตระบัดสัตย์”
3.พอกระโจนลงไปโต้เรื่องตระบัดสัตย์กับเขา ปชป.เสียมากกว่าได้ ยิ่งพยายามประดิษฐ์คำด่าให้ “เจ็บแสบ”ขนาดไหน ก็ยิ่งย้ำภาพลักษณ์เดิมๆ แบบประชาธิปัตย์ ที่เสมือนกระโจน “ลงหลุม” ที่สุดารัตน์กับพวกขุดล่อ
4.ยิ่งคนที่ลงมาเล่นคือ “ราเมศ” ที่บัดนี้ไปเป็นเลขาฯ ประธานสภา นายชวน หลีกภัย อีกตำแหน่ง เป็นการเอา “ไพ่ใหญ่” มาเล่นในวงกระจอก พรรคประชาธิปัตย์ตั้งรองโฆษกไว้อีกตั้งหลายคนมิใช่หรือ แต่กระนั้นก็ตาม ถ้าให้ผมตัดสินใจในกรณีแบบนี้ ผมตัดสินใจไม่เล่นดีกว่า ราคาไม่เสื่อม
5.บทหนึ่งที่ราเมศ “เล่นไว้ดีแล้ว” และครั้งนี้ก็ดีอีก ถ้าพูดแค่เรื่องนี้ ไม่ตามไปขยี้คำว่า “ตระบัดสัตย์” เพื่อเล่นงานกลับพรรคเพื่อไทย นั่นก็คือ เรื่องการสนับสนุนการมีทั้งสมาชิกสภากรุงเทพ (สก.) และสมาชิกสภาเขต (สข.)ที่ถูกรัฐบาล คสช. ยกเลิกไป
กล่าวคือ ครั้งนั้นราเมศกล่าวไว้ว่า พรรคประชาธิปัตย์โดยนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค ดูแล กทม. ได้ยื่นเสนอร่างแก้ไขกฎหมายระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานครว่า ปชป.เป็นพรรคการเมืองเดียวที่ได้ขับเคลื่อนกรณีดังกล่าวมาตั้งแต่เริ่มต้น เพราะเห็นว่าการยกเลิกไม่ให้มีการเลือกตั้งสภาเขตกรุงเทพมหานคร (สข.) นั้นไม่มีเหตุผลที่จะรับฟังได้เลย ประชาชนเสียประโยชน์
และต้องยอมรับความจริงว่า บทบาทของ สข. ที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นแล้วว่าเป็นบุคคลที่อยู่ใกล้ชิดกับประชาชนในทุกเรื่องและทุกเขตมาตลอด หากมีสข. ประโยชน์ก็จะเกิดกับประชาชน และเมื่อมีผู้แทนประชาชนประจำเขตแล้วการทำงานร่วมกับ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และสภากรุงเทพมหานคร (สก.) ก็จะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นนี่คือเหตุผลที่พรรคต้องทวงคืนการเลือกตั้ง สข. ให้กลับคืนมา เพื่อประโยชน์ของชาวกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นไปตามอุดมการณ์ของพรรค ในเรื่องกระจายอำนาจการดำเนินการในท้องถิ่นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เนื่องจากความใกล้ชิดขององค์กรในท้องถิ่นมีมากกว่าส่วนกลาง
โดยเมื่อวันที่ 10 ต.ค. 2562 นายองอาจคล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าหัวพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ดูแลพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) พร้อมด้วยอดีต สส. อดีตสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (สก.) และอดีตสมาชิกสภาเขต (สข.) ยื่นร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร (ฉบับที่...) ต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยนายองอาจกล่าวว่า วันนี้มายื่นร่างแก้ไขกฎหมายระเบียบบริหารราชการ กทม. เพื่อให้มีการเลือกตั้ง สข. เหมือนที่เคยปฏิบัติมากว่า 30 ปี
“สาเหตุที่ต้องเสนอแก้ไขกฎหมายให้มีการเลือกตั้ง สข. เพราะสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ชุดที่แล้วได้แก้กฎหมายไม่ให้มีการเลือกตั้ง สข. ถ้าจะเลือกตั้ง สข.ได้จะต้องมีการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการ กทม.ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศให้แล้วเสร็จโดยเร็วเสียก่อน ซึ่งไม่รู้ว่าจะใช้เวลาอีกนานแค่ไหนในการปรับปรุงกฎหมาย” นายองอาจกล่าว
นายองอาจกล่าวอีกว่า ทางพรรคจึงเห็นว่าถ้าต้องการปรับปรุงกฎหมาย กทม.ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ก็สามารถทำได้ไปพร้อมๆ กับการให้มีการเลือกตั้ง สข. ตามปกติเหมือนที่เคยทำมากว่า 30 ปี อย่างไรก็ตาม การที่ไม่ให้มีการเลือกตั้ง สข.ปกติก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชน ดังนี้ 1.ทำให้ประชาชนไม่มีโอกาสใช้สิทธิเลือกตั้งผู้แทนระดับท้องถิ่นที่ทำงานรับใช้ใกล้ชิดประชาชนมากที่สุด 2.ทำให้ไม่มีผู้แทนประชาชนร่วมพัฒนาเขตและนำปัญหาของประชาชนไปสู่การแก้ไข3.ทำให้ไม่มีผู้แทนประชาชนทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของผู้บริหารเขตอาจก่อให้เกิดการใช้อำนาจเกินขอบเขตและแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบได้โดยง่าย และ 4.ทำให้อำนาจของประชาชนลดลง แทนที่จะกระจายอำนาจไปให้ประชาชนเพิ่มมากขึ้น หากสามารถพิจารณาแก้ไขให้มีการเลือกตั้ง สข.ได้ก็จะทำให้ สข.ได้ทำงานไปพร้อมๆ กับผู้ว่าฯ กทม.และสก.ที่จะมีการเลือกตั้งเร็วๆ นี้ได้ต่อไป
ราเมศควรใช้โอกาสนี้ ทวงเรื่องนี้ และอวยพรให้คนที่ออกไปแล้วแต่ “เพิ่งมาทำพิธี” มาช่วยกันเรียกร้องเรื่องนี้จะดีกว่า!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี