ความองอาจอย่างชายชาติทหาร ความเป็นผู้นำสูงสูดอย่างยุคสมัยเป็นหัวหน้า คสช. ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ค่อยๆ “หมอง” ลงเรื่อยๆ เมื่อเข้าสู่เก้าอี้นายกฯ หลังการเลือกตั้ง
ไม่ทะนงองอาจอย่างเก่า เพราะต้อง “สานประโยชน์” กับ “นักการเมือง” ที่มาแห่ห้อมล้อมหน้าล้อมหลัง ต่างอาศัยซึ่งกันและกันในการ “เข้าสู่อำนาจ” และ “รักษาอำนาจ” จนหลายต่อหลายครั้ง ดู “ไม่เคร่ง” กับหลักการและกติกาที่สง่างาม ตลอดจน“ธรรมาภิบาล” อย่างที่เคยเรียกร้อง จนถึงขั้นให้ประชาชนไปตอบคำถามที่ศูนย์ดำรงธรรมทั่วประเทศ
พล.อ.ประยุทธ์ พยายาม “แยกตัวเอง” ออกจากนักการเมืองพวกนี้ ผ่านการให้สัมภาษณ์ในทำนอง ผม-พวกเขา ไม่มีภาพลงไปร่วมประชุมหรือเกี่ยวข้องกับการ “ตัดสินใจทางการเมือง”ของฝ่ายการเมือง ยังพยายามทำตัวเองเสมือนว่า “ไม่ใช่นักการเมือง” ต่อไป ทั้งๆ ที่เป็นนักการเมืองเต็มตัวแล้ว
เมื่อมีนักการเมืองจากพรรคพลังประชารัฐ จากพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ว่าพรรคใหญ่ พรรคกลาง หรือพรรคเล็ก มีส่วน “ค้ำยัน” บัลลังก์นายกฯ ให้ โดยนายกฯ “ไม่เลือก” หรือจริงๆ แล้ว “เลือก” ว่าจะให้ใครอยู่ใกล้ ว่าจะให้ใคร “คอยช่วย”พล.อ.ประยุทธ์จึงดู “ลอยไปลอยมา” มากกว่ามีงานในมือ“เป็นชิ้นเป็นอัน” ภาพจำของท่านจึงดูเป็น “เจ้าพ่ออีเว้นท์” ประเภท “เปิดงาน” มากกว่า “ทำงาน” และทุกๆ ครั้งที่ไปเปิดงานก็มักเป็นข่าว “บ่นเรื่องการเมือง” จนดูไม่เกรงใจคนที่อยู่ในงานเลยว่า เขาไม่ได้เล่นการเมืองทุกลมหายใจเข้าออกไปกับท่าน
ครั้ง “การอภิปรายไม่ไว้วางใจ” กำลังจะมาถึง ฝ่ายค้านก็ร้ายพอที่จะไม่อภิปราย “ปัญหาเศรษฐกิจ” กับคนที่ “ทำ” และ “พอจะตอบได้” แต่เลือกข้ามนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ กับนายอุตตม สาวนายน มา “เหมา” ที่นายกฯ คนเดียว เพราะเชื่อว่า“ไม่รู้” และ “ตอบไม่ได้” ประกอบกับไม่เคยเป็นนักการเมืองไม่เคยถูกใครอภิปรายมาเลยทั้งชีวิต ตลอดจนเป็นคน “จุดเดือดต่ำ”ฝ่ายค้านจึง “จงใจ” ที่จะใช้โอกาสนี้ “หักหน้า-ประจาน” ความไม่เป็นผู้นำที่ควรรู้ คล่อง และตอบเองได้ จนนำมาสู่ข่าวคราวการ “ตั้งองครักษ์” คอยพิทักษ์ อย่างเอิกเกริก
แน่นอน นี่ก็เป็นโอกาสที่นักการเมืองทั้งเก่าและใหม่ อยาก “ทำผลงาน” ให้เห็น ไม่เว้นแม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ ที่ยัง “ออกอาการ” ว่าพร้อมจะปกป้อง พล.อ.ประยุทธ์ ไปกับเขาด้วย
ยิ่งใกล้ถึงวันอภิปราย ยิ่งเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เลือก“ขุนพล” เป็นแม่ทัพที่เมาหมัดล่วงหน้าเสียจน “ไม่คัดขุนทหาร”ไม่ห่วง “สง่าราศี” แล้ว ห่วงถูกน็อกคาเวทีมากกว่า
หนึ่งในผู้แสดงตนราวกับว่าเป็น “ผู้ปกครอง” ของเด็กน้อยที่อ่อนแอ เอะอะ กดดัน ข่มขู่ มิตรสหายเก่า ที่บัดนี้แยกทางกันเดิน แยกโต๊ะอาหาร แยกงาน-แยกนาย คือ แรมโบ้อีสาน-สุภรณ์อัตถาวงศ์ ที่ถูกวิจารณ์ว่า ได้อานิสงส์จาก “โปรย้ายค่าย” ไม่ถูกตำรวจควบคุมตัวไปฟ้องศาลได้ทันตามกำหนด จนหลุดในบางคดี
ผมขอถามย้ำโดยหวังว่า พล.อ.ประยุทธ์จะเห็นบทความนี้ว่า คนแบบนี้ และวิธีการแบบนี้ คือสิ่งที่ท่าน “เห็นชอบ-ยินยอม” อย่าง “ยินดี” ใช่หรือไม่?
กล่าวคือ...เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ จ.นครราชสีมา นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ในฐานะเลขานุการคณะทำงานเตรียมข้อมูลสนับสนุนผู้ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจในฝ่ายของรัฐบาล กล่าวว่า ตนเห็นอาการดิ้นทุรนทุรายของฝ่ายค้าน ไม่ว่าจะเป็นคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ , ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง และ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย แล้วรู้สึกยิ่งกว่า “กินปูนร้อนท้อง” เสียอีก
ตนเคยระบุแล้วว่า คณะทำงานของเรามีมารยาททางการเมืองพอที่จะไม่ตอบโต้ หรือขุดคุ้ยข้อมูลฝ่ายค้าน ถ้าอภิปรายอยู่ในกรอบกติกาอย่างสร้างสรรค์ ไม่เล่นวิธีการสกปรกในสภาฯ ในการใส่ร้ายป้ายสี สร้างหลักฐานอันเป็นเท็จต่อนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทั้ง 5 ท่าน ทั้งๆ ที่รัฐบาลในอดีตเองก็เคยทำความเลวร้ายทิ้งไว้ให้กับบ้านเมืองมากมาย จนกระทั่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะ ต้องออกมาประคับประคองแก้ไขปัญหาที่หมักหมมมากมายที่รัฐบาลในอดีตได้ทิ้งขยะเน่าเสียไว้ จากพฤติกรรมของผู้นำบางคนที่มาแสวงหาผลประโยชน์ มีการทุจริตคอร์รัปชั่น กอบโกยโกงกินมากมาย ทิ้งคราบน้ำตาความเจ็บปวด และความทุกข์ยากเดือดร้อนของประชาชนไว้ดูต่างหน้า แต่คนที่ร่ำรวยก็หนีไปเสวยสุขกันถ้วนหน้า
“ผมจึงเตือนมาด้วยความหวังดีว่า ถ้าฝ่ายค้านอภิปรายด้วยวิธีการสกปรก เราก็ต้องใช้ยุทธวิธี “เกลือจิ้มเกลือ” เหมือนกันมีทั้งตอบโต้ในสภาฯและนอกสภาฯ ในการอภิปรายของฝ่ายค้านแต่ละคนจะมีการเก็บข้อมูลการอภิปรายอย่างละเอียดทุกคำพูดเพื่อให้ฝ่ายกฎหมายดำเนินการฟ้องร้องคดีให้เด็ดขาด จะได้เป็นบรรทัดฐาน มิให้สร้างหลักฐานอันเป็นเท็จ ปั้นน้ำเป็นตัวใส่ร้ายป้ายสี ใส่ความผู้ถูกอภิปรายในอนาคต”
นายสุภรณ์กล่าวด้วยว่า ตนขอยืนยันว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เคยสั่งให้พวกตนและคณะตั้งวอร์รูมปกป้องท่านและรัฐมนตรีทั้ง 5 ท่านที่ถูกอภิปราย นายกฯพร้อมชี้แจงในข้อเท็จจริง แต่พวกตนและคณะเห็นว่าฝ่ายค้านอย่างพรรคเพื่อไทยก็ยังใช้คนนอกสภา เช่น คุณหญิงสุดารัตน์, ร.ต.อ.เฉลิม, นายภูมิธรรม เวชยชัย มาเป็นทีมวอร์รูมนอกสภาฯได้ ทำไมพวกตนจะทำไม่ได้ฝ่ายค้านอย่า “กินปูนร้อนท้อง” เลย ถ้าอดีตรัฐบาลพวกท่านไม่ได้ทำชั่วทำเลว ทำความเสียหายอะไรไว้ในบ้านเมือง ท่านจะไปกลัวทีมวอร์รูมนอกสภาฯอย่างคณะพวกตนทำไม
นายสุภรณ์กล่าวอีกว่า คณะทำงานเคยรู้ไส้รู้พุงพวกท่าน เคยอยู่ร่วมชายคาบ้านเดียวกันเห็นทุกสิ่งรู้ทุกอย่างในบ้านหลังเก่าจึงรับไม่ได้กับพฤติกรรมของหัวหน้าครอบครัว และคนในบ้านบางคนที่กินมูมมาม จนพวกตนต้องหนีออกจากบ้านที่สกปรกสุดๆ ก็แค่นั้นเอง หรือว่าคนที่ยังอยู่ในบ้านหลังเก่าหลังเดิม ชินชากับพฤติกรรมมูมมามแบบนี้ไปเสียแล้ว
“อยากรู้ให้แวะไปเยี่ยมไปถามพี่น้องผมที่ต้องมารับชะตากรรมอันเลวร้ายจนติดคุกติดตะรางกันมากมาย ว่างๆพวกท่านทั้งหลายหยุดพักดื่มไวน์สักวัน หาเวลาแวะไปเยี่ยมเยียนพี่น้องผมที่เรือนจำกันบ้างนะครับ ว่าท่านเหล่านั้นที่อยู่ในเรือนจำทุกข์สุขอย่างไรกันบ้าง ต้องติดคุกติดตะรางอยู่อย่างลำบากน่าสงสารเพราะอะไรเพราะใคร หรือว่าผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อไทยลืมพี่น้องผมในเรือนจำกันหมดแล้วครับ”
นายสุภรณ์กล่าวว่า ดังนั้นการเล่นการเมืองของฝ่ายค้านที่กล่าวหา พล.อ.ประยุทธ์ โดยใช้วิธีการให้ข่าวในสิ่งที่ไม่เป็นจริงใส่ความ ถือว่าเป็นมารยาททางการเมืองที่ดีหรือไม่ ฝ่ายค้านต้องถามประชาชนว่า มีรัฐบาลและผู้นำที่มีปัญหาเกิดความขัดแย้งชุมนุมบนท้องถนนตลอดระยะเวลา 10 ปี สร้างความเดือดร้อนต่อประเทศต่อประชาชนและเสียหายย่อยยับกับเศรษฐกิจของประเทศอย่างใหญ่หลวง คนไทยต้องมาขัดแย้งแบ่งสีแบ่งพรรคแบ่งพวกทะเลาะเบาะแว้งกันจนเกือบจะฆ่ากันเอง แผ่นดินเกือบนองเลือด เพื่อใคร เพื่อคนไหน หรือปกป้องผลประโยชน์ของคนบางคนหรือบางตระกูล จะได้มีอำนาจมาเป็นใหญ่ในบ้านเมืองอีก เพื่อหวังกอบโกยผลประโยชน์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ผมอยากถามพรรคเพื่อไทยชอบแบบนั้นใช่หรือไม่ ผมขอถามกลับว่าถ้าไม่มีคนชื่อ พล.อ.ประยุทธ์และแม่ทัพนายกองในวันนั้นมาห้ามศึก แก้ไขสถานการณ์ในขณะนั้น ประชาชนคนไทยและประเทศไทยจะอยู่ในสภาพอย่างไร ท่านเคยถามหัวใจประชาชนคนไทยทั้งประเทศหรือยัง ว่า ต้องการนายกรัฐมนตรีที่มือสกปรกแสวงหาผลประโยชน์บนความวุ่นวายแตกแยกของบ้านเมือง บนคราบน้ำตาความทุกข์ยากเดือดร้อนของประชาชน ทั้งที่ประชาชนจะยากจนอดอยากปากแห้งอย่างไร ช่างหัวปะไร ขอให้พวกข้าพเจ้ามีอำนาจกอบโกยเงินทองจนร่ำรวยมหาศาลอย่างนั้นใช่หรือไม่” นายสุภรณ์ กล่าว
นายสุภรณ์กล่าวในท้ายที่สุดว่า วันนี้ถ้าเรามีผู้นำบ้านเมืองมีนายกรัฐมนตรีที่ใจซื่อมือสะอาด ไม่เคยคิดโกงกินบ้านเมืองไม่คิดทุจริตคอร์รัปชั่น ลมหายใจเข้าออกของท่านคือความห่วงใยประชาชน พวกท่านลองถามหัวใจประชาชนคนไทย อยากเลือกนายกรัฐมนตรีแบบไหน เชื่อมั่นว่าประชาชนคนไทยต้องการนายกรัฐมนตรีที่ใจซื่อมือสะอาด ไม่เคยคิดโกงกิน อุทิศตนทำงานเพื่อบ้านเมืองดังเช่น พล.อ.ประยุทธ์ อย่างแน่นอน ดังนั้นประชาชนคนไทยมีบทเรียนสอนใจอันเจ็บปวดมาแล้ว ไม่มีวันลืมอดีตที่ผ่านมา ได้ง่ายๆ หรอก
ครับ, ฟังเผินๆ มันดูดี ที่ออกมาปกป้องนายกฯ คนดี ไม่ให้ถูกคนชั่วใส่ร้ายป้ายสี ปั้นเรื่องเท็จมากล่าวหา
แต่มองให้ลึกๆ และชัดเถิดครับว่า ทำไมไม่เอาชนะ “ความเท็จ” ด้วย “ความจริง”
1) ถ้าจะมีวอร์รูม ไม่ว่าในสภาหรือนอกสภา วอร์รูมควรทำหน้าที่ “ป้อนข้อมูล” ให้ท่านนายกฯ ใช้ในการอธิบาย ตอบโต้ ด้วยตัวท่านเอง หรือต้องอาศัย “ขี้ข้ามาใช้” ในทางการเมือง มา “ตีปลาหน้าไซ” ส่งข้อความไปยังมิตรสหายเก่าในทำนองว่า “ถ้ามึงเล่นนายใหม่กู กูสาวไส้นายเก่ากับพวกมึงนะ” นี่เป็นวิธีของ “คนดี” นี่เป็นวิธีที่จะช่วยให้ พล.อ.ประยุทธ์งามสง่า ไม่ถูกตีความว่า เลี้ยงมาเฟียไว้ข่มขู่คนอื่น เลี้ยงคนทรยศพวกพ้อง ไว้ “สาวไส้” ไม่ให้พวกมันมาแตะต้องตัวเองได้ อย่างนั้นหรือไม่
2) เฉพาะนายสุภรณ์ หากรู้อยู่เต็มอก มีข้อมูลอยู่เต็มที่ ว่ามีคนจำนวนหนึ่งทำลายประโยชน์ของประเทศชาติประโยชน์ของประชาขน กอบโกย ตักตวง คดโกง จะเก็บไว้ใช้“ต่อรองทางการเมือง” แบบนี้ หรือควรพูดออกมาเสียนานแล้วเพื่อให้ประชาชนรู้ว่า เกิดอะไรขึ้นในอดีตที่ผ่านมา อดีต-ที่สุภรณ์ร่วมกระทำ ร่วมปกป้อง ร่วมสนับสนุนด้วย นี่มันเป็นวิธีของ “โจรกลับใจ” หรือยังเป็นวิธีแบบ “สันดานโจร”อยู่กันแน่ สังคมก็มีสิทธิสงสัยใช่ไหมครับ
3) พล.อ.ประยุทธ์ สมัยเป็นหัวหน้า คสช. แสดงออกชัดเจนมาก ว่าสุดแสนจะ “รังเกียจ” นักการเมือง เกลียดพวกขี้ข้าคนโกงแล้วหนี เกลียดพวก “เผาบ้านเผาเมือง” สร้างปัญหา สร้างความวุ่นวาย ต้องการรัฐบาลหลังการเลือกตั้งที่มี “ธรรมาภิบาล” อยากให้ประชาชนสนับสนุนคนใหม่ๆ เข้าสู่วงการเมือง ขจัดนักการเมืองเก่าๆ ที่สร้างแต่ปัญหาออกไปบัดนี้คนเขาก็ครหากันว่า พล.อ.ประยุทธ์คนนั้นหายไปไหนเหลือไว้แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ทำไม่รู้ไม่ชี้ ว่าใช้งานใครอยู่บ้าง ให้ตำแหน่ง ให้โอกาส คนประเภทไหนอยู่บ้าง เหมือนเป็นคนแบบ“มือถือสาก ปากถือศีล” หรือเป็นอัลไซเมอร์ทางหลักการไปเสียแล้ว
4) ยิ่งทำเป็นเฉย ให้คนบางประเภท ตีกัน กดดัน ข่มขู่ หมายขจัด “ศัตรูทางการเมือง” โดยไม่ส่งสัญญาณปราม เพื่อแสดงตนว่าพร้อมรับการตรวจสอบในระบบรัฐสภา อันเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างความโปร่งใสและความสง่างามในฐานะผู้นำทางประชาธิปไตย และตนไม่ได้ “กระจอก” ถึงกับต้องให้องครักษ์จำพวกนี้ออกมา “ออกหน้า” แสดงความรักความฉลาด “ล้ำหน้า” ไปมากขนาดนี้ คนก็ยิ่งรู้สึกว่า เฮ้ย!!นี่นายทหาร อดีต ผบ.ทบ. องครักษ์ที่เขาเลือก ที่เขาชอบ คือคนประเภทนี้หรือวะ นี่อดีตหัวหน้า คสช. ต้องลงมา “พึ่งพา” คนพวกนี้แล้วหรือวะ #น่าเศร้าใจ
5) สิ่งที่นายสุภรณ์ประกาศหลายรอบแล้วนี้ คือการขู่ไม่เลิก เสมือนนายสุภรณ์เองนี่แหละ ที่ “กลัว” และเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กลุ่มต่างๆ พร้อมจะตั้งวอร์รูมนอกสภา ตอบโต้กันนอกสภา แทนที่จะชักชวนกันไปใช้“ระบบปกติ” คือ การตรวจสอบในสภา ให้เดินหน้าไป ตามวิถีทางของสังคมประชาธิปไตย กลับเลือกวิธีที่จะ “เพิ่มความขัดแย้ง” นอกสภา เสียจนอดรู้สึกไม่ได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ ท่านชมชอบและมีความสุขที่จะเห็นสังคมขัดแย้ง และหาประโยชน์ หาโอกาสจากความขัดแย้งแบบนี้ โดยไม่ห้ามไม่ปรามเลยหรือ (วะ)
6) ยังมีกลุ่มอื่นๆ ในพรรคพลังประชารัฐ ที่ก็“ยอมไม่ได้” ที่จะให้บางก๊กบางก๊วนเท่านั้น ที่แสดงตนเป็นองครักษ์สำคัญ จึงเห็นการเปิดตัวคณะองครักษ์อีกหลายกลุ่ม
ในขณะที่คนเหล่านี้ พยายามแสดงออกว่ารักและห่วง พร้อมสนับสนุนและปกป้อง พล.อ.ประยุทธ์ อย่างเต็มที่มากเท่าไร อีกด้านมันก็แสดงและย้ำให้เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์นี่ อ่อนแอ ปวกเปียก มากเท่านั้น
บรรดาองครักษ์ที่ขมีขมันมากๆ นี่ แม้หลายคนหลายกลุ่มพร้อมที่จะเป็นทีมหนุนที่สร้างสรรค์ แต่ก็มีใช่ไหมที่หวังให้การแสดงตนครั้งนี้ “เข้าตา” หวังผลว่า หลังอภิปราย อาจมีการปรับคณะทำงาน ปรับคณะรัฐมนตรี บางที“อาจเป็นเรา” บ้างก็ได้?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี