ในเมื่อมหาวิทยาลัยหลายแห่งหลายที่ซึ่งเต็มไปด้วยเหตุทุจริต เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก อันเกิดจากการกระทำของผู้บริหารระดับสูงของมหาวิทยาลัยระดับเสียแล้ว มหาวิทยาลัยนั้นๆ ก็ไม่ต่างไปจากซ่องโจรแม้โจรที่เป็นผู้บริหารระดับสูงจะมีปริญญาบัตรหลายใบ จบการศึกษาระดับปริญญาเอกจากสถาบันการศึกษาแห่งใดบนโลกใบนี้ก็ตาม
คำพูดประโยคนี้สะท้อนว่ามหาวิทยาลัยหลายแห่งของไทยในยุคนี้มีสภาพภายในไม่ต่างไปจากชุมโจร เพราะยิ่งเข้าไปขุดไปคุ้ยก็ยิ่งพบความไม่ชอบมาพากลอย่างมากมาย แต่น่าประหลาดใจที่หน่วยงานหลักของประเทศไทยซึ่งมีหน้าที่รักษาความบริสุทธิ์โปร่งใสของประเทศไทยกลับทำเสมือนเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ ไม่กล้าตรวจสอบ ไม่กล้าเอาผิดกับผู้กระทำผิดกับผู้บริหารมหาวิทยาลัย แต่ที่น่าอดสูยิ่งกว่าคือ ในมหาวิทยาลัยบางแห่งนั้นกลับมีผู้บริหารระดับสูงสุดบางคนในฝ่ายตุลาการของประเทศไทย เข้าไปเกลือกกลั้วมั่วสุมกับผู้บริหารมหาวิทยาลัยที่เต็มไปด้วยเรื่องฉ้อฉลทุจริต
เขียนให้คิดสัปดาห์นี้ นำคุณไปตั้งคำถามกับผู้บริหารของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ คำถามคือ ผู้บริหารระดับสูงของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่สามารถใช้เงินงบประมาณแผ่นดินนำกลุ่มคนไปท่องเที่ยวในยุโรปได้หรือทั้งนี้กลุ่มที่เดินทางไปยุโรปกับคณะนี้ประกอบด้วย กรรมการสภามหาวิทยาลัยคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัย จำนวน 40 คน ไปท่องเที่ยว แต่อ้างว่าไปดูงานต่างประเทศ คือ จีน เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ และฝรั่งเศส ใช้เวลาเดินทางรวม 13 วัน ใช้งบประมาณ 6 ล้านกว่าบาท สาธารณชนที่รับทราบเรื่องนี้กำลังติดตามว่าพฤติกรรมเช่นนี้ถือหรือผิดกฎหมาย
ย้อนความไปเมื่อปี 2557 ระหว่างวันที่ 12-29 มีนาคม ได้ปรากฏความจริงซึ่งเป็นที่รับรู้กันอย่างกว้างขวางและลึกซึ้งในหมู่ประชาคมมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ว่า มีคณะผู้บริหารของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ คือคณะกรรมการมหาวิทยาลัยและคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัย จำนวน 40 คน เดินทางไปต่างประเทศโดยระบุว่าเพื่อดูงานที่ประเทศจีน และประเทศยุโรปตะวันตกอีก3 แห่ง คือ เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ และฝรั่งเศส เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นในยุคของอธิการบดีชื่อ ประพันธ์ ธรรมไชย ประเด็นนี้ทำให้ประชาคมมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ตั้งคำถามอย่างครึกโครมว่าไปดูงานอะไรจริงหรือ เพราะไม่ปรากฏว่ามีการรายงานผลการดูงานที่เป็นรูปธรรม ไม่มีการระบุว่าไปดูงานด้านใด และก่อให้เกิดผลประโยชน์อย่างไรกับมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่
การเดินทางที่กล่าวถึงในข้างต้น ไม่ได้ถูกตั้งคำถามเพียงเฉพาะภายในกลุ่มประชาคมราชภัฏเชียงใหม่เท่านั้น แต่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) มีความเห็นว่า การเดินทางทั้งหมด 13 วัน โดยใช้เงินงบประมาณ 6,040,487.13 บาทนั้น เมื่อพิจารณารายละเอียดแล้วพบว่ามีการดูงานในประเทศจีนเพียงครึ่งวัน โดยดูงานที่มหาวิทยาลัยภาษาต่างประเทศเสฉวน ส่วนการเดินทางข้ามทวีปเพื่อไปยุโรป ไม่พบว่ามีการดูงานด้านการศึกษาแต่อย่างใด แต่เป็นการไปท่องเที่ยวมากกว่า โดยคณะได้ไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ โดยมิได้มีการดูงานด้านการศึกษาใดๆ แม้แต่น้อยถือเป็นการใช้งบประมาณแผ่นดินโดยไม่ตรงกับที่ระบุไว้ในโครงการศึกษาดูงานแต่ที่มากกว่านั้นคือ การเดินทางไปท่องเที่ยวยุโรปตะวันตกในครั้งนั้นไปในหัวข้อที่ผู้เดินทางระบุชัดเจนว่า ท่องเที่ยวยุโรป เมืองโรแมนติกในฝัน
ดังนั้น เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2560 สตง. จึงมีมติหลังตรวจสอบการเดินทางดังกล่าวโดยถี่ถ้วนแล้วว่า การเดินทางไปศึกษาดูงานต่างประเทศของคณะกรรมการสภามหาวิทยาลัย และคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ เฉพาะในส่วนของประเทศจีน ถือได้ว่าเป็นการศึกษาดูงานที่ชอบด้วยกฎหมายและระเบียบราชการ (แต่เมื่อประชาคมราชภัฏเชียงใหม่เห็นมติของ สตง. ก็ส่งเสียงหัวเราะ แล้วถามกลับว่า แค่ไปดูงานเพียงครึ่งวันนี่หรือเป็นการทำถูกกฎหมาย ทั้งๆ ที่คณะอยู่ในประเทศจีนนานถึง 4 วัน)
อย่างไรก็ตาม สตง. มีความเห็นเพิ่มเติมว่า การเดินทางไปยุโรป(เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส) อีก 9 วัน ไม่มีการดูงานด้านการบริหารการศึกษาตามที่ระบุไว้ในโครงการเพื่อขออนุมัติใช้งบประมาณแผ่นดิน แต่เป็นการไปท่องเที่ยวเท่านั้น
เพราะฉะนั้น อธิการบดีซึ่งเป็นผู้อนุมัติโครงการ และรองอธิการบดีของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ซึ่งเป็นผู้ขออนุมัติโครงการ (โดยทั้งสองรายนี้ร่วมเดินทางไปกับคณะด้วย) จึงมีความผิดด้านวินัยอย่างร้ายแรง และต้องรับผิดทางละเมิดด้วย และต้องส่งมอบคืนเงินที่ใช้ในการเดินทางตามที่ขอเบิกไปคืนให้มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ให้ครบถ้วน
สำหรับเรื่องนี้ ผู้ว่าการ สตง. (ในขณะนั้น) คือ พิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส เคยระบุว่าต้องตรวจสอบต่อไปว่าผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่กระทำการทุจริต หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ อันก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐหรือไม่ ซึ่งถือเป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 หรือไม่ และจะเสนอเรื่องนี้ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) พิจารณาดำเนินคดีอาญาต่อไป พร้อมทั้งจะเสนอให้คณะกรรมการวินัยทางงบประมาณและการคลังของ สตง. ไต่สวนและพิจารณาลงโทษทางปกครองต่อไป
จากวันนั้นจวบจนบัดนี้ เรื่องการเดินทางไปจีนและยุโรปของคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ยังคงถูกเก็บอยู่ใน ป.ป.ช. แม้วันเวลาจะผ่านเลยมานานถึง 3 ปี แต่ยังไม่มีผลสรุปที่ชัดเจน จึงทำให้ประชาคมราชภัฏเชียงใหม่ตั้งคำถามว่า ป.ป.ช. ติดขัดปัญหาใดในการพิจารณาคดีนี้หรือ ทั้งๆ ที่ สตง. ได้ระบุความผิดชัดเจนไปแล้ว แต่บางฝ่ายในราชภัฏเชียงใหม่ก็พยายามมองว่า ป.ป.ช. คงกำลังทำงานนี้อยู่ แล้วก็ให้กำลังใจ ป.ป.ช. แต่ก็บอกว่าขอให้ ป.ป.ช. เร่งสรุปคดีนี้ด้วย เพราะกินเวลามาเนิ่นนานมากแล้ว แต่บางฝ่ายก็วิพากษ์ว่าการที่เรื่องนี้ล่าช้า เพราะมีการพยายามวิ่งเต้นเพื่อดึงคดีหรือไม่ ซึ่งคำถามเหล่านี้มีมากขึ้นเป็นลำดับเมื่อ ป.ป.ช. ยังไม่มีผลสรุปของคดีนี้ หลังจากที่มีผู้ตั้งคำถามว่าเหตุใดเรื่องนี้จึงล่าช้าจนผิดสังเกต อย่างไรก็ตาม หลายคนจากมหาวิทยาลัยราชภัฏหลายแห่งที่เฝ้ารอผลสรุปจาก ป.ป.ช. บอกว่าหากเรื่องนี้ออกมาว่าผิดถูกสถานใด จะได้ใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติต่อไป เพราะหากผิดก็จะไม่ทำตาม แต่หากไม่ผิดก็จะทำตามบ้าง
อย่างไรก็ตาม เพื่อความเป็นธรรมกับผู้ที่ถูก สตง. ระบุความผิดไปแล้ว ก็ต้องขอเรียนให้ผู้อ่านทราบว่า สภามหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ได้มีคำสั่งที่ 76/2560 ลงวันที่ 20 กันยายน 2560 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง กรณีโครงการศึกษาดูงานต่างประเทศของผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ โดยมีข้อสรุปว่า เป็นการดำเนินงานที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว และต่อมาวันที่ 12 มกราคม 2561 ประธานคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงรายงานผลการสอบสวนต่อนายกสภามหาวิทยาลัยสรุปว่า การเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายทุกรายการ คือ ค่าที่พัก เบี้ยเลี้ยงค่ายานพาหนะของคณะผู้ร่วมเดินทางถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่ได้เบิกเกินสิทธิ์ที่พึงได้รับ ทุกอย่างเป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ. 2560 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่สอง)พ.ศ. 2554 และสรุปว่าการเบิกจ่ายเงินไปราชการโดยไม่ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม เป็นการดำเนินการอย่างถูกต้องตามข้อกฎหมายทุกประการ ข้อสังเกตคือผลการสอบของคณะกรรมการชุดนี้ต่างจากการระบุความผิดโดย สตง. อย่างสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ สาธารณชนรับทราบโดยทั่วกันแล้วคือ ป.ป.ช. รับคดีนี้ไปพิจารณาเมื่อหลายปีมาแล้วแต่คำถามที่สาธารณชนเฝ้ารอคือ เมื่อไรผลการตัดสินคดีนี้จะปรากฏชัดต่อสาธารณชน พร้อมกับมีคำถามว่า ป.ป.ช. มีเหตุขัดข้องอันใดในการพิจารณาคดีนี้หรือ
ขอย้ำว่า เรื่องนี้ สตง. มีความเห็นชัดเจนไปแล้ว และคดีนี้อยู่ในการพิจารณาของ ป.ป.ช. ส่วนเรื่องที่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่พยายามค้นหาตัวว่าใครนำหนังสือลับที่ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ส่งถึงนายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ออกไปเผยแพร่ต่อสาธารณะ ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เพราะยิ่งตามหาก็ยิ่งดูเสมือนเป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงประเด็น เพราะถ้าหากหนังสือลับฉบับนั้นเป็นเอกสารจริง โดยไม่มีการปั้นแต่งขึ้นมา ก็ต้องถือว่าเอกสารดังกล่าวคือประจักษ์พยานสำคัญของคดี เพราะการที่ผู้สื่อข่าวนำเสนอข่าวการทุจริตใดๆ โดยมีหนังสือลับฉบับใดฉบับหนึ่งเป็นเครื่องยืนยัน ก็คือการรับรองว่ามีเหตุทุจริตเกิดขึ้นจริง เรื่องนี้นับเป็นความสามารถของผู้สื่อข่าวในการค้นหาเอกสารลับ เป็นเรื่องที่ต้องสรรเสริญ เพราะการทำข่าวเชิงสืบสวนสอบสวน (investigative news reporting) ที่แท้จริงต้องใช้เอกสารหลักฐานเป็นเครื่องประกอบที่สำคัญ ซึ่งดีกว่าการพูดเองโดยไม่มีหลักฐานชัดเจนเป็นเครื่องยืนยัน
แต่ประเด็นสำคัญที่สุดของเรื่องนี้อยู่ที่หนังสือที่ สกอ. แจ้งไปยังมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ให้เร่งดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) โดยเร็ว ซึ่งหนังสือฉบับดังกล่าวออกไปตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2561 โดย สกอ. ส่งถึงนายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ อย่างไรก็ตาม สกอ. ระบุว่าไม่เคยได้รับหนังสือชี้แจงใดๆ ตอบกลับจากนายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ และสกอ.ระบุว่าเรื่องการจัดการปัญหานี้อยู่ที่นายกสภามหาวิทยาลัย ซึ่งมีหน้าที่กำกับดูแลการใช้จ่ายเงินของอธิการบดี และย้ำว่าอธิการบดีอยู่ใต้อำนาจปกครองของสภามหาวิทยาลัย
แต่สิ่งสำคัญที่ระบุในหนังสือของ สกอ. ที่ส่งถึงนายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่คือ คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินได้พิจารณาและมีมติให้ดำเนินการทางวินัยต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องแล้วนั้น มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ในฐานะหน่วยรับตรวจย่อมมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินดังกล่าว โดยอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุด มีอำนาจหน้าที่แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องตามที่คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินสั่งการและต้องสอบสวนให้แล้วเสร็จโดยไม่ชักช้า
เพราะฉะนั้น เมื่อสาธารณชนที่เฝ้าติดตามคดีนี้มาเป็นระยะเวลานาน แต่ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนจาก ป.ป.ช. จึงทำให้เกิดคำถามจากสาธารณชนว่า เหตุใดคดีที่ สตง. ได้ระบุอย่างชัดเจนแล้วว่ามีความผิด และได้ส่งคดีนี้ไปยัง ป.ป.ช. นานหลายปีแล้ว แต่เหตุใด ป.ป.ช. ยังไม่มีคำตอบในเรื่องนี้ ขอย้ำว่าสาธารณชนกำลังติดตามข้อสรุปเรื่องนี้เพื่อเป็นแนวทางการปฏิบัติในอนาคต และขณะเดียวกัน สาธารณชนก็กำลังเฝ้ามองว่า เรื่องที่ สตง.ระบุว่าผิด จะกลายเป็นเรื่องที่ถูกในวิจารณญาณของ ป.ป.ช.หรือไม่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี