ในวันนี้ที่คนทั่วโลกกำลังเผชิญกับวิกฤติไวรัส COVID-19 ระบาดกระจายทั่ว เกิดความหวั่นกลัว ระแวง ไม่สามารถดำเนินกิจกรรมตามปกติของตัวเองได้ ด้วยเหตุผลสำคัญก็คือ เรากำลังต่อสู้อยู่กับสิ่งที่เราไม่เห็น ไม่รู้จักดี และไม่เคยเจอมาก่อน ซึ่งความไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เข้าใจนี่ล่ะครับคือเชื้อไฟชั้นดีที่พร้อมจะลุกไหม้บ้านเมืองเราอย่างไม่ปรานี
คุ้นๆ ไหมครับ เวลาเห็นคำว่า “ไม่รู้ ไม่เห็นไม่เข้าใจ” มันคล้ายคลึงกับอีกวิกฤติหนึ่งที่คนไทยเราต่อสู้กันมาเป็นเวลายาวนานมากแล้ว นั่นคือปัญหาคอร์รัปชัน ที่มีการประเมินว่าทำให้ชาติสูญเสียเงินไปหลายแสนล้านในแต่ละปี ตอนที่มีคนโกงชาติกันเราก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร หรือ ถ้ารู้ก็ไม่เห็นว่าเขาทำกันอย่างไร และไม่เข้าใจรูปแบบการโกงที่มีการวิวัฒนาการอยู่ตลอดเวลาเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับของหน่วยงานปราบโกงและประชาชน แต่ที่คอร์รัปชันมีความเหนือชั้นกว่าไวรัสโควิดนี้ก็คือ มันแนบเนียนด้วยครับ ค่อยๆ กัดกร่อนทำลายชาติบ้านเมืองไปอย่างเนียนๆ เงียบๆ ไม่สร้างความตื่นตระหนก จนคนในสังคมละเลย ปล่อยให้คอร์รัปชันแฝงตัวอยู่ได้มาเป็นเวลาช้านาน
ที่ประเทศไทยยังควบคุมสถานการณ์การระบาดของโควิดได้อยู่ ปัจจัยสำคัญก็คือบุคลากรสาธารณสุขของไทย หรือ ที่หลายๆ สื่อเรียกอย่างชื่มชมว่ากลุ่มมดงาน ที่อดหลับอดนอน รักษาพยาบาลผู้ป่วยที่ปกติก็มากอยู่แล้ว ตรวจคัดแยกผู้ป่วยต้องสงสัยเข้าข่ายติดไวรัสโควิด และยังต้องคอยช่วยตอบคำถามกับประชาชนทั่วไปอีก ที่สำคัญในโรงพยาบาลหลายๆ แห่ง พวกเขาต้องต่อสู้กับไวรัสร้ายนี้โดยขาดอุปกรณ์ป้องกันและสนับสนุนการทำงานที่เพียงพอ ต้องรักษาพยาบาลผู้ป่วยโดยใช้หน้ากากอนามัยผ้าซึ่งไม่ปลอดภัยเท่าหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ซึ่งขาดแคลนอยู่ ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคอย่างมาก
แล้วหน้ากากอนามัยทางการแพทย์เหล่านี้หายไปไหน ทั้งๆ ที่ข้อมูลก็ชัดเจนว่าประเทศไทยเรามีกำลังการผลิตเพียงพอต่อการใช้ในโรงพยาบาล ไม่นานข้อมูลก็เปิดเผยจากพลเมืองที่ตื่นรู้สู้โกง หรือเป็น Active Citizen ว่ามีผู้มีอำนาจกักตุนหน้ากากอนามัยทางการแพทย์โดยผิดกฎหมายเพื่อเอาไปขายในราคาแพง หากำไรจากความลำบากและชีวิตของคนอื่น ซึ่งหากเป็นเรื่องจริง นอกจากจะเป็นการคอร์รัปชันอย่างร้ายแรงแล้ว ยังเป็นการผิดศีลธรรมและจริยธรรมอีกด้วย เรื่องนี้ได้รับความสนใจจากสังคมอย่างมาก จนนำไปสู่การสืบค้นข้อมูลต่อเนื่องและการดำเนินการทางกฎหมาย ซึ่งเราจะต้องติดตามผลกันต่อไป
คำถามหนึ่งในใจผมเมื่ออ่านข่าวนี้คือ ทำไมคนถึงให้ความสนใจเรื่องคอร์รัปชันกรณีนี้มากเป็นพิเศษ เพราะถ้าเทียบกับกรณีอื่น อาจจะมีมูลค่าความสูญเสียน้อยกว่าอีกหลายกรณีเสียอีก คำตอบที่คิดได้คือ วิกฤติไวรัสโควิดนี้ ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในความเข้าใจของสังคมต่อการคอร์รัปชันแล้ว 3 ประการ นั่นคือ หนึ่ง ไม่เคยมีครั้งไหนที่คอร์รัปชันจะกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวทุกคนได้ขนาดนี้เพราะการโกงกักตุนหน้ากากอนามัย ทำให้ประชาชนไม่สามารถหาซื้อได้และไม่มีใส่ป้องกันโรค มันโยงมาถึงตัวเองจริงๆ หรือแม้แต่การเห็นภาพของแพทย์และพยาบาลที่ทำงานอย่างเหนื่อยล้า ต้องขาดแคลนหน้ากากอนามัย ก็ทำให้คนรู้สึกทนไม่ได้อย่างมาก สอง ไม่เคยมีครั้งไหนที่การคอร์รัปชันส่งผลกระทบต่อสังคมได้รวดเร็วเท่านี้ จะสังเกตได้ว่าการกักตุนหน้ากากอนามัย เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน แต่ก็ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนแทบจะทันที ไม่ต้องรอว่ามีคนโกงเงินตัดถนน ทำให้อีกสองปีถนนพัง และสาม ไม่เคยมีครั้งไหนที่การคอร์รัปชันจะกระทบทุกคนอย่างเท่าเทียมกันได้ขนาดนี้ แน่นอนว่าผู้มีรายได้น้อยหรือแรงงานนอกระบบอาจได้รับผลกระทบมากกว่าคนอื่น แต่ไวรัสโควิดนี้สามารถแพร่และติดทุกคนได้ ไม่ว่าจะมีฐานะใด มีชื่อเสียงมากแค่ไหน สร้างความหวาดกลัวให้กับทุกคนอย่างเท่าเทียม ทำให้ทุกคนลุกขึ้นมาตื่นตัวพร้อมๆ กันและเรียกร้องให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเร่งจัดการปัญหานี้อย่างเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพ
ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้คนที่ผู้มีน้ำใจ หลั่งไหลกันบริจาคทั้งเงินและอุปกรณ์เพื่อสนับสนุนการทำงานของบุคลากรสาธารณสุขให้ทำงานได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เป็นภาพที่สร้างความหวังในสถานการณ์ที่น่ากลัวนี้ได้อย่างดี เมื่อมองกลับมาที่การต่อต้านคอร์รัปชันบ้าง เราก็มีมดงานต้านโกงเช่นเดียวกัน ที่ทำงานอย่างเข้มข้นและแข็งขัน ทั้งหน่วยงานภาคประชาสังคม ภาคเอกชนภาครัฐ ภาควิชาการ และพลเมืองตื่นรู้สู้โกงที่ช่วยเปิดเผยความจริงให้สังคมได้รับรู้ อย่างในกรณีกักตุนหน้ากากนี้ คงจะดีไม่น้อยถ้ากลุ่มมดงานต้านโกงเหล่านี้ได้รับน้ำใจและการสนับสนุนจากคนไทยที่ได้รู้ ได้เห็น ได้เข้าใจผลของการคอร์รัปชันอย่างชัดเจนแล้วในวันนี้
เมื่อเราได้รู้ ได้เห็น ได้เข้าใจวิกฤตินี้แล้ว จึงต้องหาทางแก้ไข ซึ่งมีงานวิจัยหนึ่งที่น่าสนใจมาก โดย ดร.นฤดล จันทร์จารุ และคณะ ที่ใช้ภาษาศาสตร์ศึกษาแนวความคิดของการต้านโกงในไทย งานวิจัยนี้ศึกษาว่าถ้าคนทั่วไปได้รับสารที่แตกต่างกัน จะส่งผลให้มีแนวคิดที่แตกต่างกันหรือไม่ โดยทดลองให้กลุ่มหนึ่งรับสารว่าคอร์รัปชันเป็นโรคร้าย อีกกลุ่มหนึ่งรับสารว่าคอร์รัปชันเป็นปีศาจร้าย แล้วให้ตอบคำถามว่าจะแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันอย่างไร ผลการทดลองออกมาชัดเจนว่า กลุ่มที่ได้รับสารว่าคอร์รัปชันเป็นปีศาจร้ายบอกว่าต้องฆ่าปีศาจโดยเพิ่มโทษคนโกง ในขณะที่กลุ่มที่ได้รับสารว่าคอร์รัปชันคือโรคร้ายบอกว่าต้องหาทางป้องกันไม่ให้คนมีโอกาสโกง ซึ่งนี่คือวิธีการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันที่ดีที่สุดตามหลักวิชาการ เช่นเดียวกับที่วันนี้แพทย์ทุกคนแนะนำเหมือนกันให้อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ ป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเกาะติดตัวเรากระจายไปทั่วได้ ซึ่งเป็นวิธีการป้องกันเชื้อไวรัสได้ดีที่สุด ไม่ว่าเราจะมีหรือไม่มีวัคซีนก็ตาม
ท่ามกลางวิกฤติโรคระบาดกระจายทั่วในวันนี้สิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งที่เราสามารถทำได้ในทันทีคือ ดูแลตัวเองให้ดี สร้างระยะห่างทางสังคม แยกตัวเอง หลีกเลี่ยงการเข้าไปในที่ชุมชน ไม่เดินทางไปไหนโดยไม่จำเป็น และสนับสนุนและให้กำลังใจคนที่กำลังต่อสู้กับไวรัสร้ายอยู่ในวันนี้ เช่นเดียวกับวิกฤติคอร์รัปชันที่เราสามารถ เริ่มที่ตัวเราเอง ไม่ให้ไม่รับสินบน หลีกเลี่ยงสถานการณ์สุ่มเสี่ยงต่อผลประโยชน์ทับซ้อนส่วนรวมและส่วนตัว และสนับสนุนและให้กำลังใจกับคนที่กำลังต่อสู้กับคอร์รัปชันร้ายในวันนี้ เพื่อสังคมไทยที่จะแข็งแรง ปลอดภัยจากวิกฤติร้ายโควิดและคอร์รัปชันไปพร้อมๆ กันครับ
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี