เมื่อเริ่มทดสอบระบบการเรียนออนไลน์และออนแอร์ ความโกลาหลเกิดขึ้น เริ่มจากความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนว่าเป็นการเปิดภาคเรียนแล้ว ทุกคนต้องเรียน ทั้งๆ ที่เป็นเพียงการทดสอบระบบและเสริมกิจกรรมให้แก่ผู้ปกครองและเด็ก เนื่องจากมีการเลื่อนการเปิดภาคเรียนไปเป็นวันที่ 1 กรกฎาคมนี้
นายเทพไท เสนพงศ์ สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊คส่วนตัว กล่าวถึง กรณีการเปิดเรียนทางออนไลน์ของนักเรียนในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ว่า จากการติดตามข้อมูล และได้รับข้อร้องเรียนจากผู้ปกครองของนักเรียนในหลายพื้นที่ พบว่าเกิดปัญหา และอุปสรรคมากมาย ที่กระทรวงศึกษาธิการจะต้องตระหนัก และนำปัญหาที่เกิดขึ้นไปแก้ไข โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของประเทศที่เกิดขึ้นมาช้านาน เด็กนักเรียนในชนบท จะเสียเปรียบนักเรียนในสังคมเมือง ทั้งด้านข้อมูลข่าวสาร ตำราเรียน ครูอาจารย์ที่มีความชำนาญในการสอน และโอกาสในการเรียนพิเศษ หรือสถาบันกวดวิชา ฯลฯ
เมื่อเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จนโรงเรียนไม่สามารถจะเปิดเรียนได้ตามปกติ ทำให้กระทรวงศึกษาธิการ ต้องมีนโยบายให้เปิดเรียนทางออนไลน์ และระบบดาวเทียม ตั้งแต่เมื่อวันที่ 18 พ.ค.เป็นวันแรก พบว่ามีปัญหาอุปสรรคที่ตนได้รับการร้องเรียน ซึ่งสามารถรวบรวมได้ดังนี้คือ
1.มีนักเรียนบางส่วน ขาดแคลนอุปกรณ์การเรียนการสอน เช่น โทรศัพท์มือถือ แท็บเลต โทรทัศน์
2.ในพื้นที่ชนบทบางแห่ง ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ไม่สามารถเรียนทางออนไลน์ได้ และไม่มีจานดาวเทียม หรือจานดาวเทียมรับสัญญาณไม่ได้
3.ในพื้นที่ที่มีสัญญาณอินเตอร์เนต ก็เกิดสภาพสัญญาณล่ม และสัญญาณอินเตอร์เนตไม่เสถียร ต้องจ้างช่างมาปรับจูนสัญญาณใหม่
4.เด็กนักเรียนยังขาดความพร้อมในการเรียนทางออนไลน์ ไม่มีสมาธิในการเรียน ไม่สามารถเรียนด้วยตนเองได้ ขาดแรงจูงใจ เพราะไม่มีครูคอยกระตุ้นเตือนเหมือนในห้องเรียน
5.ในครอบครัวที่มีพี่น้องกำลังเรียนหนังสือหลายคนแต่มีโทรทัศน์เพียงเครื่องเดียว ทำให้ไม่สามารถเรียนได้ครบทุกคน
6.เกิดปัญหาปมด้อยของนักเรียน มีการเปรียบกับเพื่อนๆที่มีอุปกรณ์ในการเรียนที่ดีกว่า ทันสมัยกว่า มีความพร้อมมากกว่า
7.เป็นภาระการสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองในการซื้ออุปกรณ์ในการเรียนออนไลน์ และการเรียนผ่านดาวเทียมเพิ่มขึ้นอีกในยามที่กำลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจเช่นนี้
8.ผู้ปกครองนักเรียนต้องทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงคอยควบคุมให้ลูกนั่งเรียนผ่านออนไลน์ ทำให้เสียเวลาในการทำงาน หรือประกอบอาชีพในการทำมาหากินของแต่ละวันได้
จึงขอเสนอให้กระทรวงศึกษาธิการได้เตรียมความพร้อม และเร่งรัดให้มีการเรียนการสอนในห้องเรียนของโรงเรียนให้เร็วที่สุด โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของเด็ก ครู ผู้ปกครอง และบุคลากรทางการศึกษา เพราะการเรียนในห้องเรียน ย่อมมีประสิทธิภาพ และผลสัมฤทธิ์มากกว่า การเรียนผ่านระบบออนไลน์หรือดาวเทียม และเป็นการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ระหว่างนักเรียนในเมืองกับในชนบท ที่มีความไม่เท่าเทียมทางการศึกษามาเป็นเวลายาวนานด้วย
ขณะที่ ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เขียนบทความสั้นๆ ชื่อ “โรงเรียนควรเปิดได้แล้วหรือไม่ ถ้าเรียนออนไลน์ไม่ใช่คำตอบ” ว่า
กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กำหนดชัดเจนแล้วว่า ถ้าสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ไม่ลดลงจนถึงเกณฑ์ปลอดภัยต่อการไปโรงเรียนของนักเรียน โดยเฉพาะชั้นอนุบาลไปจนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 ทาง สพฐ. จะจัดให้มีการสอนออนไลน์ (และออนทีวี) ผ่านช่องทีวีดิจิทัลเพื่อการศึกษา (DTV ช่อง 37-53) ซึ่งจะเริ่มต้นทดลองการถ่ายทอดการสอนผ่านช่องทีวีดิจิทัลในวันที่ 18 พฤษภาคม (2563) นี้ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดเทอมที่ถูกเลื่อนไปเป็นวันที่ 1 กรกฎาคม 2563
ประเด็นที่กลายเป็นข้อกังวลของวงการศึกษา คือ การปล่อยให้นักเรียนหยุดเรียนอย่างยาวนาน ถึงแม้จะมีการเรียนผ่านช่องทีวีดิจิทัลก็ตาม ก็อาจส่งผลเสียหายต่อกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียน ทั้งนี้เพราะความไม่เชื่อว่าการสอนออนไลน์ (และออนทีวี) ผ่านทีวีดิจิทัลที่ สพฐ. จะดำเนินการนั้น จะสามารถพัฒนาคุณภาพนักเรียนได้อย่างที่ควรจะเป็น
ในทางกลับกัน ถ้าให้นักเรียนไปโรงเรียนในช่วงเวลานี้ แล้วนักเรียนเกิดติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ก็จะกลายเป็นความไม่สบายใจของผู้ปกครอง และบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ด้วยประเด็นความขัดแย้งของแนวทางจัดการเรียนการสอนภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีความแน่นอนจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นี้ จึงกลายเป็นเรื่องที่สังคมให้ความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง
ดังนั้น ผมในฐานะที่ทำงานทางด้านการศึกษามาอย่างต่อเนื่อง จึงขอเสนอความคิดเห็นต่อเรื่องนี้ เพื่อหวังว่าจะช่วยนำไปสู่การแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้มีทางออกที่เหมาะสม และถือเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงความห่วงใยที่มีต่อสถานการณ์อันไม่ปกติ ซึ่งกระทบต่อกลไกทางการศึกษาจนอาจส่งผลต่อกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียนในบ้านเมืองของเรา
คงต้องเริ่มต้นกันด้วย การพิจารณาถึงข้อดีและข้อเสียของการเรียนการสอนแบบออนไลน์ (และออนทีวี) รวมไปถึงการไปโรงเรียนภายใต้สถานการณ์ที่ภาครัฐยังไม่ให้ความแน่นอนในเรื่องของความปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
1.การสอนออนไลน์ (และออนทีวี) ทำให้นักเรียนอยู่บ้านเรียนหนังสือได้ โอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสน้อย ในขณะที่การไปโรงเรียน นักเรียนมีโอกาสที่จะติดเชื้อไวรัสมากกว่า
2.การเรียนที่โรงเรียน นักเรียนมีโอกาสที่จะเรียนรู้และพัฒนาทักษะทางอารมณ์และสังคมได้มากกว่าการเรียนออนไลน์ (และออนทีวี) เพราะนักเรียนอยู่ที่บ้านโดยไม่มีเพื่อนเล่น และไม่มีปฏิสัมพันธ์อื่นๆ
3.การเรียนออนไลน์ (ออนทีวี) นักเรียนไม่มีโอกาสรับประทานอาหารเช้าและกลางวัน รวมทั้งดื่มนม เหมือนที่ไปโรงเรียน ดังนั้น การเรียนออนไลน์(และออนทีวี) จะกระทบกับนักเรียนที่มาจากครอบครัวยากจนมากกว่านักเรียนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดี
4.การเรียนออนไลน์ (และออนทีวี) ผ่านช่องทีวีดิจิทัลที่ สพฐ. เตรียมการนี้ มีโอกาสสูงมากที่นักเรียนจะไม่สนใจ และหลุดไปจากการสอนที่ถ่ายทอดอยู่ ความไม่สนใจและหลุดไปจากสาระที่สอน จะส่งผลให้นักเรียนขาดความต่อเนื่องในการเรียนของคาบชั่วโมงต่อไป และสุดท้ายมีโอกาสที่จะหลุดจากการเรียนไปเลย คือไม่อยากไปโรงเรียนเลย ถึงแม้โรงเรียนจะเปิดสอนตามปกติแล้วก็ตาม (เมื่อการระบาดของเชื้อไวรัสสิ้นสุด)
5. ข้อจำกัดของการเรียนออนไลน์ (และออนทีวี) เหล่านี้ เมื่อนำขึ้นมาพิจารณากับความเสี่ยงของนักเรียนต่อการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 แล้ว แน่นอนว่า พ่อแม่ผู้ปกครอง และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคน คงจะไม่มีใครต้องการให้เกิดการติดเชื้อของนักเรียน จึงไม่มีคำตอบที่ชัดเจนว่า ควรเลือกการเรียนออนไลน์ (และออนทีวี)หรือการให้นักเรียนไปโรงเรียน
ทั้ง 5 ประเด็นที่ผมนำขึ้นมากล่าว เพื่อให้เข้าใจปัญหาสำคัญที่ต้องทำการแก้ไข แต่การแก้ไขปัญหาดังกล่าวนั้น ไม่ว่าจะเป็นการเลือกหนทางใด ก็ไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่า นักเรียนจะไม่ติดเชื้อไวรัส (ถ้าไปโรงเรียน) และไม่มีใครยืนยันได้ว่า นักเรียนจะได้เรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ตามเป้าหมายที่ควรจะเป็น ผ่านการเรียนออนไลน์(และออนทีวี) สิ่งที่ควรต้องมาให้น้ำหนักก็คือ คำถามที่ว่า ใครควรจะเป็นผู้ตัดสินใจว่านักเรียนควรจะไปโรงเรียน หรือควรจะเรียนออนไลน์ (และออนทีวี)
ถ้า สพฐ. จะเป็นผู้ตัดสินใจในเรื่องนี้ แล้วให้นักเรียนทั้งประเทศปฏิบัติตาม ผมคิดว่าคงจะไม่ถูกต้องนัก เพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกัน
ที่สำคัญ ความรับผิดชอบด้านสาธารณสุขในบริเวณพื้นที่ตั้งของแต่ละโรงเรียนนั้น ก็มีบริบทสภาพแวดล้อมตามความเข้าใจและความคุ้นเคยของคนในพื้นที่ และผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขในบริเวณดังกล่าว
ดังนั้น คณะบุคคลที่ควรต้องตัดสินใจ ว่าสถานการณ์ระบาดของไวรัสในบริเวณพื้นที่ตั้งของโรงเรียนนั้นๆ จะปลอดภัยพอที่จะให้นักเรียนไปโรงเรียนได้หรือไม่ น่าจะให้คณะกรรมการสถานศึกษาของโรงเรียน อันประกอบด้วย ตัวแทนผู้ปกครอง(พ่อแม่) บุคคลในชุมชน ครู และผู้บริหารโรงเรียนรวมไปถึงแพทย์ในพื้นที่ดังกล่าวเข้าร่วมให้ความเห็นก็น่าจะเป็นช่องทางที่เหมาะสมกับทุกฝ่าย ไม่ใช่ปล่อยตามอำเภอใจของ สพฐ.
ได้สองความเห็นจากสองท่านนี้ ก็สะท้อนปัญหาได้ครบสมบูรณ์พอดี เป็นหน้าที่ของผู้เกี่ยวข้องจะต้องนำไปพิจารณา!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี