คุณไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ กับผมนั้นรู้จักกันมานมนาน นับย้อนไป
ตั้งแต่วัยเรียนที่สหรัฐอเมริกา โดยในระยะแรกๆ ผมเรียกคุณไกรศักดิ์ว่า คุณโต้ง แต่เมื่อวันที่คุณไกรศักดิ์ กลับมาเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผมก็เปลี่ยนคำเรียกคุณไกรศักดิ์มาเป็น “อาจารย์” ตั้งแต่บัดนั้น ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมา คุณไกรศักดิ์ก็ได้ให้เกียรติเรียกผมกลับว่าพี่กษิตมาโดยตลอด
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เรามีความสนิทสนมกัน แต่มิได้เป็นไปในรูปแบบเพื่อนซี้ เพื่อนเที่ยว หากแต่เป็นเพื่อนร่วมอุดมคติและอุดมการณ์ ด้วยความเคารพนับถือ และชื่นชมซึ่งกันและกันมากกว่า และแม้ว่าช่วงหนึ่งเราจะอยู่กันคนละค่ายการเมืองในรัฐบาลผสมที่ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ (บิดาของอาจารย์โต้ง) ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลผสม และมีการแต่งตั้งคณะที่ปรึกษา ที่มีอาจารย์โต้งเป็นหัวหน้าในฉายาบ้านพิษณุโลก ในขณะที่ผมเองได้สังกัดอยู่ทีมวังสราญรมย์ ภายใต้การกำกับดูแลของ พลเอกสิทธิ เศวตศิลา (หัวหน้าพรรคกิจสังคม) ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ในช่วงเวลาดังกล่าว ได้มีความเห็นไม่สอดคล้องกันในเรื่องนโยบายไทยต่ออินโดจีน ระหว่างฝ่ายนายกรัฐมนตรี กับฝ่ายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งก็แน่นอนว่า ในที่สุดบรรดา คณะรัฐมนตรีและพรรคร่วมรัฐบาลก็ต้องเข้าแถวไปกับนโยบาย เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้าของนายกรัฐมนตรี
แต่อย่างไรก็ตาม ความเห็นต่างในครั้งนั้น ก็มิได้ทำให้ความเป็นเพื่อนของเราทั้งคู่ขาดสะบั้น หรือจืดจางลงแต่อย่างใด ผมกลับยิ่งชื่นชม และเคารพจุดยืนในการวางตัวของอาจารย์โต้งมาโดยตลอด
ล่าสุดในช่วง 15 ปีที่ผ่านมานี้ อาจารย์โต้ง ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา (ที่มาจากการเลือกตั้ง) ก็ได้แต่งตั้งให้ผม (ซึ่งเพิ่งเกษียณอายุราชการมาหมาดๆ) ให้เป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ จนเมื่อคณะกรรมาธิการใกล้ครบวาระ อาจารย์โต้งก็มอบให้สมาชิกวุฒิสภา ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ทำการสัมภาษณ์ผม เรื่องผลงานของคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ ซึ่งแต่แรกได้กำหนดว่าจะอัดเทปกันที่ห้องถ่ายทำของรัฐสภา
แต่ ดร.เจิมศักดิ์ ไปได้เวลาและเวทีของฝ่ายพันธมิตร (ณ ลานพระบรมรูปรัชกาลที่ 5) โดยเหตุการณ์ครั้งนั้นได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของผมไปอย่างสิ้นเชิง เส้นทางชีวิตทางการเมืองของผมได้อุบัติขึ้นโดยมิได้มีการเตรียมการ หรือเตรียมใจมาก่อน ซึ่งแม้จะมีความวุ่นวายชนิดขึ้นเขาลงห้วย แต่โดยรวมผมก็รู้สึกยินดี พึงพอใจ ทั้งหมดนี้สามารถพูดได้ว่า ชีวิตทางการเมืองของผมมีจุดเริ่มต้นมาจากอาจารย์โต้งนั่นเอง
นอกเหนือจากการแต่งตั้งให้ทำงานในคณะกรรมาธิการการต่างประเทศของวุฒิสภาแล้ว อาจารย์โต้งยังได้ชักชวนให้ผมเข้าร่วมในองค์กรต่างๆ ดังนี้
1. กลุ่มสมาชิกรัฐสภาอาเซียนเพื่อ ออง ซาน ซู จี (ASEAN Inter-Parliamentary Myanmar Caucus - AIPMC) ในช่วงที่เธอยังถูกคุมขังลิดรอนสิทธิเสรีภาพโดย รัฐบาลทหารพม่าอยู่
2. องค์กรสมาชิกรัฐสภาอาเซียนเพื่อสิทธิมนุษยชน (ASEAN Parliamentarians for Human Rights - APHR)
3. มูลนิธิฟรีแลนด์ (Freeland Foundation) ต่อต้านการค้ามนุษย์และการค้าสัตว์ป่าสัตว์หวงห้าม
โดยในปัจจุบัน ผมยังดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารอยู่ใน2 องค์กรหลัง ซึ่งผมยังคงซาบซึ้ง และรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่อาจารย์โต้งได้ให้โอกาส ให้ความเชื่อถือ และความเชื่อใจ
และเนื่องจากอาจารย์โต้งเป็นหลานชายของ จอมพลผิน ชุณหะวัณ เป็นลูกของ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นหลานชายของ พลเอกประมาณ อดิเรกสาร และเป็นหลานชายของ พลตำรวจเอกเผ่าศรียานนท์ ผู้โด่งดัง ใหญ่โตน่าเกรงขาม เพียบด้วยบารมี อำนาจวาสนาอาจารย์โต้งเกิดมากับครอบครัวการเมืองที่มีส่วนสำคัญในหลายๆ ช่วงของประวัติศาสตร์การเมืองไทย อาจารย์โต้งเกิดมาบนกองเงินกองทองท่ามกลางแวดวงแห่งอำนาจจะหาใครมีเสมอเหมือนไม่
นั่นจึงทำให้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผมจึงได้ทราบข่าวคราวของท่านอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะจากสื่อต่างๆ หรือจากแวดวงคนรู้จัก นั่นก็คือ “บ้านราชครู” โดยอยากจะนำมาลำดับบางส่วนให้ฟังดังนี้
ในชีวิตอาจารย์โต้ง ได้พบกับการปฏิวัติที่ส่งผลกระทบต่อตนเอง และครอบครัวถึง 2 ครั้ง คือ โดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และโดย พลเอกสุจินดา คราประยูร
ซึ่งในการปฏิวัติครั้งแรกโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ส่งผลให้พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ต้องไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศอาร์เจนตินา และสวิตเซอร์แลนด์ จึงทำให้ชีวิตในวัยเด็กของอาจารย์โต้งต้องติดตามบิดาไปเติบโตที่เมืองนอก โดยสามารถใช้ภาษาอังกฤษและสเปนดีเยี่ยม และได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยทั้งที่สหรัฐอเมริกา และอังกฤษ
เมื่อกลับสู่ประเทศไทย อาจารย์โต้งก็ได้เลือกที่จะรับใช้ชาติบ้านเมือง ด้วยการเป็นอาจารย์ และยังคงฏิบัติตนเป็นนักคิดให้กับสังคมไทย โดยเฉพาะในเรื่องเศรษฐกิจการเมือง ซึ่งชี้ให้เห็นว่า การเมืองกับเศรษฐกิจนั้นเกี่ยวโยงกันชนิดแบ่งแยกไม่ได้ โดยดำรงตนเป็นนักคิดที่คำนึงถึงความเหลื่อมล้ำในสังคม และมีความมุ่งหวังที่จะทำให้สังคมไทยสามารถปลดแอกจากระบบอุปถัมภ์ต่างๆ ได้
และด้วยที่อาจารย์โต้ง มาจากครอบครัวอภิสิทธิ์ชน แต่กลับมีความคิด และลงมือปฏิบัติเพื่อคนยากคนจน คนด้อยโอกาส จึงทำให้สังคมยกย่องและให้ความนับถือ
อาจารย์โต้ง สมัครเป็นอาจารย์ ด้วยตนเอง
อาจารย์โต้ง สมัครเป็นสมาชิกวุฒิสภา ก็ด้วยตนเอง
อาจารย์โต้ง สมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ก็ด้วยตนเองอีกเช่นกัน
และแม้แต่ตอนที่ท่านลาออกจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เพื่อมาช่วยงานบิดา (พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี) ด้วยความกตัญญูและห่วงใย ท่านก็มิได้กินตำแหน่งใดๆ ในพรรคชาติไทย หรือแม้กระทั่งจะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีก็ไม่มี
จึงเรียกได้อย่างเต็มปากว่า อาจารย์โต้งนั้นไม่เคยใช้ความเป็นอภิสิทธิ์ชนเพื่อแสวงหายศถาบรรดาศักดิ์แก่ตนเองแต่อย่างใด
ครั้งที่สังกัดพรรคการเมือง อาจารย์โต้งก็เลือกเข้าพรรคประชาธิปัตย์ (แทนที่จะเข้าไปอยู่ในพรรคที่คุณลุงและคุณพ่อตั้งไว้) นั่นก็อาจจะเพราะคงรู้สึกว่าไม่เป็นการเหมาะสมที่จะอาศัยบารมีของลุงและพ่อ รวมทั้งคงเห็นด้วยว่า อุดมการณ์ไม่ไปด้วยกัน ซึ่งสะท้อนว่า อาจารย์โต้ง นั้นเป็นผู้มีหลักการ (Principle) และพร้อมจะเดินก้าวไปข้างหน้าด้วยสติปัญญา ความสามารถ ของตนเอง โดยมีความเป็นตัวของตัวเองอย่างชัดเจน
ตลอดชีวิตอาจารย์โต้งได้ช่วยเหลือผู้คนมากมาย ทั้งในด้านทุนทรัพย์ และความรู้ ผ่านทางเวทีหารือ ผ่านทางคำแนะนำ รวมทั้งได้ดำเนินการประสานงานเพื่อให้ฝ่ายต่างๆ ได้พูดคุยกัน ซึ่งแม้จะมีบางคนมาเอาประโยชน์จากอาจารย์โต้งแต่ฝ่ายเดียวก็ตาม อาจารย์โต้งก็ไม่เคยปริปากบ่น ไม่มีความอาฆาตแค้น ไม่ติดใจ ไม่มีอคติ ยังคงมุ่งหน้าทำงานเพื่อสังคมต่อไปจนสุขภาพไม่อำนวย เนื่องจากโรคภัยไข้เจ็บรุมเร้า
เรื่องต่างๆ ที่เล่ามานี้เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งแห่งความใจกว้าง ใจดีและการเป็นจิตใจสูงส่ง ที่รักชาติ รักความถูกต้องยุติธรรม ของอาจารย์โต้งผู้ประเสริฐ
และในวาระที่อาจารย์โต้งได้จากพวกเราไปแล้ว ผมในฐานะตัวแทนของผู้ที่ดำเนินรอยตามท่าน ขอกราบคารวะ และกราบขอบพระคุณ อาจารย์โต้ง มา ณ ที่นี้ โดยพวกเราจะมุ่งมั่นทำงานให้ชาติบ้านเมืองต่อไป ดังที่อาจารย์โต้งได้ประพฤติตนเป็นแบบอย่าง เสมือนเป็นคบไฟนำทางให้กับพวกเรา ในการขับเคลื่อนความดีงามให้กับบ้านเมืองต่อไป
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี