3.ความคิดความเชื่อที่ว่าอัตราการรู้หนังสือของประชาชนยังต่ำอยู่มาก ฉะนั้น ประชาชนจึงยังไม่พร้อม ไม่มีความสามารถในการที่จะมีส่วนร่วมทางการเมือง
เป็นการปิดกั้นสิทธิในการมีส่วนร่วมไปโดยปริยายโดยไม่ได้ให้คะแนนกับประชาชน ว่าก็คุ้นเคยกับการเลือกตั้งมาโดยตลอด เช่น การเลือกกำนัน ผู้ใหญ่บ้านทั้งนี้ประเทศอินเดียครั้งได้รับเอกราชจากอังกฤษ (ค.ศ. 1947)ทั้งๆ ที่ประชากรรู้หนังสือแค่ประมาณ 18% แต่คนของเขาต่างก็เข้าสู่กระบวนการมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยไปก่อตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา และก็มีการแข่งขันกันทางการเมือง นับตั้งแต่วันที่เขาได้รับเอกราชจากอังกฤษเลยทีเดียว ดังนั้นความสามารถในการมีส่วนร่วมทางการเมือง จึงไม่เกี่ยวกับอัตราการรู้หนังสือ หากแต่ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของความเป็นเจ้าของประเทศ และนโยบายที่นักการเมือง พรรคการเมืองจะมาเสนอให้เขาเลือกว่าอันไหนดี อันไหนไม่ดีต่างหาก
4.จากการเข้าใจผิดของคณะราษฎรว่าประชาชนไทยไม่พร้อมมีส่วนร่วมทางการเมือง ก็เลยไม่เปิดโอกาสให้มีการตั้งพรรคการเมืองโดยทันที ส่งผลให้อำนาจการปกครองประเทศไทยตกอยู่ในวังวนของคนจำนวนไม่กี่คน ซึ่งก่อให้เกิดความล่าช้าทางด้านการตื่นตัวทางการเมืองของประชาชนไทยอยู่นาน
ที่กล่าวมาทั้งหมด คือความผิดพลาดในขั้นตอนการเตรียมสังคมไทยให้พร้อมต่อการเป็นสังคมเสรีประชาธิปไตยซึ่งแม้จะเป็นข้อบกพร่องของคณะราษฎร แต่ก็ไม่สามารถจะนำไปเหมารวมว่า การปฏิวัติทางการเมืองไทย เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 นั้นไม่ดีไม่ถูกต้องไปเสียทั้งหมดก็คงไม่ได้ เพราะว่า วัตถุประสงค์ในการดำเนินการนั้นเป็นไปด้วยเจตนาที่ดี เพียงแต่ด้วยการสะดุดขากันเองในหมู่ผู้ก่อการนั่นเอง ที่ทำให้ไม่สามารถผลักดันสังคมไทยไปสู่ความสำเร็จในการเป็นเสรีประชาธิปไตยได้ในยุคของพวกเขา
แต่จากปี พ.ศ. 2500 จึงจัดได้ว่าเป็นปีสุดท้ายของคณะราษฎร จนถึงบัดนี้ปี พ.ศ. 2563 ก็ร่วม 63 ปีมาแล้ว ไทยก็ยังย่ำเท้าอยู่กับที่ในเรื่องประชาธิปไตย จะกลับไปกล่าวโทษคณะราษฎรก็ดูกระไรอยู่ ก็ต้องกล่าวโทษผู้นำไทยทุกคนที่ต่างมิได้ทำอะไรกันเลยในเรื่องการเสริมสร้าง ขับเคลื่อน ประชาธิปไตย ทุกคนที่เข้ามามีตำแหน่งและใช้อำนาจมิได้มีใครคิด และดำเนินการในเรื่องประชาธิปไตยเลยแม้แต่คนเดียว แถมหลายๆ คนยังบอนไซประชาธิปไตยเสียอีก เราประชาชนชาวไทยก็ไม่ต้องหวังพึ่งพานักการเมือง เราต้องพึ่งตัวเองและทำงานที่ค้างคาจากวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ทันที
ในวาระที่ครบรอบ 88 ปี ของ 24 มิถุนายน 2475 คงไม่มีใครเถียงว่า สังคมไทยได้เดินมาสู่จุดที่ประชาชนไทยนั้นตื่นตัวกับการเมืองเป็นอย่างสูง แต่ก็ยังมีผู้มีอำนาจหลายๆ ท่านยังคงติดกับดักความเชื่อเดียวกับคณะราษฎรที่ว่า คนไทยนั้นมีความรู้น้อย ยังไม่พร้อมกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างกว้างขวาง ในการปฏิรูประเทศครั้งที่ผ่านมาโดย คสช. จึงเป็นไปในลักษณะควบรวมอำนาจไว้ที่ส่วนกลางและปฏิเสธการให้ประชาชนเป็นส่วนหนึ่งในการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจบริหารประเทศของรัฐ นอกจากนั้นยังคงตีกรอบการตัดสินใจของประชาชนในการเลือกตั้งผ่านทางการให้อำนาจวุฒิสภา (ที่มาจากการแต่งตั้ง) ลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรี ที่มีหน้าที่บริหารประเทศ แถมยังตัดเอาข้อกำหนดที่ว่า นายกฯจะต้องผ่านการเลือกตั้ง สส.มา (ไม่ใช่คนนอก) ออกไป ทั้งๆ ที่สังคมไทยต่อสู้เรื่องนี้กันมานานกว่าจะได้บรรจุลงในรัฐธรรมนูญ
คำถามก็คือ ณ วันนี้ เราพึงพอใจกับประชาธิปไตยแบบไม่เต็มใบแล้วหรือไม่? หรือเราจะยังคงมุ่งมั่นต่อไปให้จุดมุ่งหมายแห่งเสรีนิยมประชาธิปไตยที่คณะราษฎรได้
เริ่มต้นไว้กันแน่?
หากคำตอบในใจของพวกเราพี่น้องชาวไทย 67 ล้านคน คือ การก้าวไปสู่ประชาธิปไตยเต็มใบ เราจะต้องเริ่มกันที่การดำเนินการรณรงค์เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญในข้อที่ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของประชาธิปไตย หรือข้อที่ขัดขวางการกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่น และประชาชน
ซึ่งกระบวนการดังกล่าวจะช่วยให้ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเกี่ยวกับความเป็นไปของประเทศของรัฐบาล (แม้จะได้รับการเลือกตั้งมาแล้ว) เช่น การที่รัฐบาลตัดสินใจจะใช้เงินกู้ หรือเงินงบประมาณ โดยเฉพาะเพื่อโครงการยักษ์ใหญ่ (เมกะโปรเจกท์) โดยในทางคู่ขนาน รัฐจะต้องจัดหาข้อมูลประกอบการตัดสินใจอย่างเพียงพอให้กับประชาชน และแน่นอนว่า ต้องสะดวกต่อการเข้าถึงอีกด้วย (จะผ่านทางเว็บไซต์ หรือจะผ่านทั้งสิ่งตีพิมพ์หรือจะให้ทางฝ่ายประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลแจ้งให้กับประชาชนทราบทุกวี่ทุกวันตลอดเวลา ก็เป็นสิ่งที่พึงจะกระทำ) เพราะยิ่งประชาชนรับรู้ข้อมูลครบถ้วนความเข้าใจก็จะเกิดขึ้นส่งผลให้การมีส่วนร่วมผ่านทางการแสดงความคิดเห็นจะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะดูยุ่งยาก แต่มติของสังคมก็จะเป็นผลดีต่อการตัดสินใจของรัฐบาลในที่สุด
วันที่ 24 มิถุนายน 2475 นั้นเป็นวันที่เริ่มการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของประเทศไทย หากแต่การเปลี่ยนแปลงนั้นยังคั่งค้างอยู่ ยังไปไม่ถึงจุดมุ่งหมายและถูกส่งต่อมาเป็นการบ้านให้กับอนุชนรุ่นหลังรับไปดำเนินการให้สำเร็จ ในการสร้างสังคมเสรีประชาธิปไตยให้เกิดบนผืนดินไทย และมีความเจริญก้าวหน้าที่ไม่แพ้นานาอารยประเทศ
อย่าลืมว่า ความเป็นไทยของเรานั้น มันบ่งบอกซึ่งความเป็นเสรีชนในตัวอย่างชัดแจ้ง เราจึงต้องมุ่งหน้าต่อไป เพื่อจะได้เป็นนักประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบโดยจะต้องไม่ยอมให้สิ่งใดมาเป็นอุปสรรค
เพื่อที่สังคมไทยเรา จะได้บรรลุวัตถุประสงค์แห่งการเป็นสังคมแห่งเสรีประชาธิปไตยอย่างเต็มภาคภูมิเสียที
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี