วันนี้เป็นวันพุธขึ้น 11 ค่ำ เดือน 8 ปีชวด เหลืออีก4 วัน ก็จะเป็นวันที่พระตถาคตเจ้าแสดงปฐมเทศนาเมื่อครั้งโพธิกาล บทความวันนี้จึงยังคงนับเนื่องอยู่ในเรื่อง“จากเนรัญชราถึงอิสิปตนะ” เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาโดยปรารถนาความสวัสดีให้บังเกิดมีแก่พระราชอาณาจักรและพี่น้องชาวไทยทั้งหลาย
อริยมรรคองค์ที่เจ็ดและองค์ที่แปดคือสัมมาสติและสัมมาสมาธินั้นเป็นอริยมรรคองค์สำคัญ เพื่อการศึกษาอบรมปฏิบัติทางจิตตามแบบแผนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสรู้ ดังที่ตรัสว่า ทุกข์ตั้งอยู่ที่จิต การดับทุกข์ก็ดับกันที่จิต และเครื่องมือหรือมรรคอันเป็นเครื่องดับทุกข์โดยตรงคือสัมมาสติและสัมมาสมาธิที่ทรงแสดงนั่นแหละ
ก่อนอื่นก็อยากจะแก้ความสับสนทั่วไปเสียก่อนในประการดังนี้
ประการแรก การเจริญสัมมาสติและสัมมาสมาธินั้นไม่ได้ถือเอาอาการหลับตาหรือลืมตาเป็นสำคัญ จึงไม่เป็นประโยชน์ใดที่จะถกเถียงติเตียนกันในเรื่องวิธีการหลับตาหรือลืมตา เพราะพระตถาคตเจ้าไม่ได้เห็นความสำคัญของเรื่องนี้เลย ที่ทรงสอนก็คือ “ตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า”นั่นคือกิริยาอาการเบื้องต้นหรือเริ่มต้นในการเจริญสัมมาสติและสัมมาสมาธิ
ประการที่สอง อิริยาบถทั้งหลายไม่ว่านั่ง ยืน เดิน หรือการยกไม้ยกมือหรือท่าทางประการใดไม่ได้มีความสำคัญประการใดเลย เป็นอุบายในการปฏิบัติของครูบาอาจารย์แต่ละท่านตามความถนัดของแต่ละท่าน ซึ่งอาจได้ผลหรือไม่ได้ผลกับคนอื่นๆ เลยก็ได้
อิริยาบถในการเจริญสติและสมาธิที่ทรงสรรเสริญก็คืออิริยาบถนั่ง แต่ก็มิได้ปฏิเสธอิริยาบถยืน นอน เดิน ซึ่งตรัสสอนไว้ครบถ้วนในแต่ละอิริยาบถแล้ว แต่ที่ทรงสรรเสริญและที่พระองค์ทรงปฏิบัติเองก็คืออิริยาบถนั่ง
ประการที่สาม แม้แบบแผนวิธีที่ตรัสสอนในการเจริญสัมมาสติและสัมมาสมาธิจะมีถึง 36 แบบ แต่แบบที่ทรงสรรเสริญและทรงรับรองว่าพระองค์ทรงปฏิบัติเองโดยตรงคือแบบที่เรียกว่าอานาปานสติ
และควรทำความเข้าใจว่าในแบบแผนปฏิบัติ 36 แบบนั้น หลายแบบเหมาะสมกับผู้ที่มีอัชฌาสัยไปในทางตึง หลายแบบเหมาะสมกับผู้มีอัชฌาสัยไปในทางหย่อน และมี 10 แบบวิธีที่เหมาะสมกับบุคคลทั่วไป คือมุ่งที่จิตโดยตรง แต่ใน 10 แบบวิธีนี้ทรงสรรเสริญอานาปานสติมากที่สุด
เมื่อทำความเข้าใจเป็นเบื้องต้นเช่นนี้แล้วก็จะได้พรรณนาสัมมาสติและสัมมาสมาธิอันเป็นอริยมรรคองค์ที่เจ็ดและองค์ที่แปดต่อไป
พระตถาคตเจ้าตรัสสอนด้วยพระองค์เองจากพระโอษฐ์ ทั้งทรงอธิบายสัมมาสติและสัมมาสมาธิชัดเจนที่สุด ไม่ต้องถกเถียงกัน ไม่ต้องตีความอะไรกันอีกต่อไปแล้ว เพียงแต่ว่าค้นหาให้พบ อ่านให้ครบ และปฏิบัติให้เป็นไปตามที่ทรงสอนก็ย่อมได้มรรคผลในระดับที่แน่นอนหนึ่งๆ อย่างแน่นอน
สัมมาสติที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนปรากฏในมหาสติปัฏฐานสูตรว่า
“สัมมาสติเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสติสัมปชัญญะกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ อันนี้ เรียกว่าสัมมาสติ”
“สัมมาสมาธิเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้สงัดจากกาม อกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน เธอบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละทุกข์ ละสุข และดับโสมนัส โทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่อันนี้เรียกว่าสัมมาสมาธิ”
ตรัสรับรองว่า เมื่อเจริญสัมมาสติและสัมมาสมาธิฉะนี้แล้ว ก็ย่อมมีปัญหาเห็นธรรมทั้งภายในบ้าง ภายนอกบ้าง เห็นความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ และความดับไป สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่าธรรมมีอยู่ก็เพียงสักว่าความรู้และอาศัยระลึกเท่านั้น เธอเป็นผู้อันตัณหา (คือเหตุแห่งทุกข์) และทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว ไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่
สภาวะที่เห็นธรรมในธรรมนั้นก็คือเห็นด้วยปัญญาอันยิ่งว่าสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา เมื่อเห็นความจริงด้วยปัญญาสูงสุดดังนี้แล้ว ปัญญาก็จะเห็นความไม่เที่ยงหรือที่เรียกว่าอนิจจานุปัสสี
เมื่อปัญญาเห็นความไม่เที่ยงแจ่มแจ้งแล้วก็จะเกิดความเบื่อหน่ายในความติดยึดทั้งหลาย หรือที่เรียกว่ามีปัญญาเห็นวิราคานุปัสสี
เมื่อมีความเบื่อหน่ายในความติดยึดทั้งหลาย จิตก็โน้มไปในการสลัดออกให้พ้นจากการติดยึดทั้งหลาย เพื่อความดับสนิทแห่งความติดยึดทั้งหลาย หรือที่เรียกว่านิโรธานุปัสสี
เมื่อจิตมีปัญญาน้อมไปเพื่อการสลัดออกจากความยึดมั่นถือมั่นทั้งหลาย จิตก็จะหลุดออกจากการยึดมั่นถือมั่นหรือกิเลสอาสวะทั้งหลายอย่างสิ้นเชิง สภาวะแห่งการสลัดออกไปนั้นเรียกว่าปฏินิสสัคคานุปัสสี
และเมื่อจิตสลัดพ้นจากความติดยึดทั้งหลายสู่ความเป็นอิสระสูงสุด คือความดับทุกข์หรือนิพพานแล้ว เมื่อนั้นจิตก็จะหยั่งรู้ได้เองว่าได้ถึงซึ่งสภาวะที่เรียกว่าวิมุตตะมิติดังที่ตรัสไว้ในอนัตตลักขณสูตรว่า
“วิราคา วิมุจจะติ วิมุตตัสมิง วิมุตตะมิติ ญาณัง โหติ”ซึ่งแปลว่าเพราะคลายความติดยึดจิตก็หลุดพ้น เมื่อจิตถึงมิติแห่งความหลุดพ้นแล้ว ก็เกิดความรู้ยิ่งว่าหลุดพ้นแล้ว
ปฏิปทาสายกลางคือมรรคอันมีองค์แปด ซึ่งเป็นวิถีหรือหนทางปฏิบัติสู่ความเป็นอิสระสูงสุดหรือความดับทุกข์สิ้นเชิงนั้น คือแบบแผนหลักหรือเส้นทางสายเอกหรือเส้นทางสายหลักที่จะไปถึงซึ่งความหลุดพ้น ความบริสุทธิ์ และนิพพาน
แต่ทว่าตลอดระยะเวลายาวนาน 45 ปีของโพธิกาลนั้นก็มีคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ทำให้ปุถุชนถึงซึ่งความหลุดพ้นได้โดยวิถีทางปลีกย่อยอีกสองวิถีทาง
วิถีทางแรก เป็นวิถีทางที่ชาวพุทธในนิกายมหายานยึดถือปฏิบัติ คือใช้หลักปฏิบัติแห่งความเมตตาปรานีต่อเพื่อนมนุษย์ ทำให้เกิดการปล่อยปละละวาง และอาจเข้าถึงซึ่งภาวะวิมุตตะมิติได้เช่นเดียวกัน
วิถีทางเช่นนี้ความจริงก็ใกล้เคียงหรือขยายหรือต่อยอดออกไปจากแบบแผนปฏิบัติ 2 แบบใน 36 แบบวิธี นั่นคือแบบแผนปฏิบัติที่มีชื่อว่าเมตตาอัปปมัญญา และกรุณาอัปปมัญญา ซึ่งเป็น 2 แบบวิธีในอัปปมัญญา 4 แบบนั่นเอง
วิถีทางที่สอง เป็นวิถีทางที่ชาวพุทธในนิกายวชิรยานดังเช่นชาวทิเบตยึดถือปฏิบัติ ที่มุ่งเน้นในการเจริญศรัทธา สร้างศรัทธาแน่วแน่มั่นคงขึ้น เมื่อศรัทธาเจริญถึงที่สุดโดยไม่ผิดหลงในแนวทาง หรือปราศจากโมหะ ก็อาจจะบังเกิดปัญญาแวบขึ้น ทำให้หลุดพ้นได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นผู้ที่ปฏิบัติในแบบแผนนี้จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติในวิถีทางวชิรยานคือการหลุดพ้นชนิดดุจดังสายฟ้าแลบ
ดังนั้นถ้าหากได้ทำความศึกษาทำความเข้าใจสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสสอนด้วยพระองค์เอง ซึ่งมีความครบถ้วน หมดจด มีความบริสุทธิ์ บริบูรณ์ ทั้งอรรถะและพยัญชนะ มีความงดงามในเบื้องต้น ในท่ามกลาง และในการปฏิบัติ ก็ย่อมสามารถรับเอาประโยชน์จากการศึกษาปฏิบัติธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสรู้
ดังนั้นในโอกาสวันอาสาฬหบูชาที่จะมาถึงในปีนี้ จึงควรที่ชาวพุทธทั้งหลายจะได้หันมาตั้งความสังเกต ทำความศึกษาและปฏิบัติในสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนในธัมมจักกัปปวัตนสูตร เพื่อรับเอาประโยชน์ให้สมกับที่ได้เกิดมาในร่มเงาแห่งพระพุทธศาสนาจงทั่วกัน
หลังจากทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตนสูตรเสร็จแล้ว ท่านอัญญาโกณฑัญญะได้มีดวงตาเห็นธรรม คือเห็นด้วยปัญญาอันยิ่งว่าสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา จึงขออุปสมบท พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ประทานอุปสมบทโดยการตรัสว่า เธอจงเป็นภิกษุเถิดพระอัญญาโกณฑัญญะจึงเป็นพระสงฆ์สาวกรูปแบบ
ดังนั้นในวันอาสาฬหบูชาเมื่อครั้งโพธิกาลจึงเป็นวันที่พระรัตนตรัยครบองค์สามด้วยประการฉะนี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี