สังคมไทยใช้ระบบการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมาร่วม 88 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 ซึ่งก็มีสภาพล้มลุกคลุกคลานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาก็มีการกล่าวหา หรือโยนบาปกันไปมาว่า ผู้ใดกันแน่ ที่เป็นผู้ทำให้ประชาธิปไตยของไทยไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างราบรื่นและมั่นคง
ตั้งแต่ก่อน พ.ศ. 2475 และหวังตลอดมาจนกระทั่งบัดนี้ ก็มักจะกล่าวกันอยู่เสมอว่า ชาวไทยส่วนใหญ่นั้นยังไม่พร้อมที่จะเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยซึ่งในวันนี้ ผมเห็นว่าไม่เป็นความจริง เพราะตัวของปัญหาอยู่ตรงการที่ประชาชนพลเมืองถูกตีกรอบถูกปิดกั้น ถูกบิดเบือน และที่สำคัญที่สุดประชาชนไทยถูกขโมยอำนาจอธิปไตยมากกว่า
ตัวปัญหา 2 ตัวที่มีผลต่อการบอนไซของประชาธิปไตยของไทย คือ
1) การเมือง ฝ่ายนักการเมืองและพรรคการเมืองที่ไม่คิด ไม่ยอม ไม่ตั้งใจ ที่จะพัฒนาตนเองให้เป็นสากลกันเสียที
2) ฝ่ายกองทัพ ซึ่งไม่ยอมรับหลักสากลว่า ต้องฟังคำสั่งของฝ่ายพลเรือนที่เป็นรัฐบาล และต้องไม่ยุ่งกับการเมือง แต่กองทัพไทยคลั่งไคล้ในอำนาจ ต่างเชื่อว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องรักษาดูแลความมั่นคง ซึ่งรวมทั้งการต้องมีส่วนในการเมืองด้วย
เมื่อฝ่ายการเมืองไม่เข้มแข็ง ก็หมายความว่ารัฐสภาไม่เข้มแข็ง รัฐสภาก็พัฒนาตนเองให้เป็น 1 ใน 3 สถาบันหลักของชาติมิได้
และเมื่อฝ่ายการเมืองไม่แข็งแรงก็หมายความว่าส่วนที่มาเป็นฝ่ายบริหาร หรือฝ่ายรัฐบาลนั้น ก็ไม่เข้มแข็งในหลักการและจิตสำนึกในหน้าที่ด้วย
ฝ่ายบริหารอ่อน ฝ่ายรัฐสภาอ่อนแอ และฝ่ายสถาบันหลักที่ 3 คือ ฝ่ายตุลาการก็พลอยอ่อนแอไปด้วย ส่งผลให้การแบ่งแยก การคานอำนาจ การตรวจสอบ ถ่วงดุล ไม่เป็นไปตามทฤษฎี หลักการที่เขียนไว้ มีการแทรกแซงกัน และมีการทุริตคอร์รัปชั่นอย่างกว้างขวาง
ที่กล่าวมาก็เป็นผลมาจากปรากฏการณ์ของการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ไทยทำตามฝ่ายยุโรปตะวันตกเป็นหลัก แต่ทำตามแค่รูปแบบ แต่ขาดประเพณีวัฒนธรรม จิตสำนึก และความเข้าอกเข้าใจในสาระเนื้อหาที่มาจากเนื้อในของตนเอง
ฉะนั้น ประเด็นปัญหาที่แท้จริงของประชาธิปไตยของไทยก็คือ เรายังไม่ได้มีแบบฉบับที่ไทยคิด ไทยทำ และไทยใช้ ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมแบบไทยๆ เราไม่มีความเป็นเจ้าของประชาธิปไตยของเราเอง แต่เป็นแบบของยุโรปตะวันตก จึงขาดรากเหง้าของเราเอง
ปัญหาของไทยก็เหมือนๆ กับประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย นั่นคือไปเอาของฝรั่งมาใช้ ซึ่งก็มิใช่ว่าของฝรั่งเขาไม่ดี แต่ที่ฝรั่งเขาใช้ได้ ทำได้ เพราะเขามีเวลาในการพัฒนา มีรากมีฐาน มีที่ไปที่มา โดยเฉพาะเขาโยงกับอดีต เขาโยงกับประวัติศาสตร์ได้ และประวัติศาสตร์จากอดีตมีความต่อเนื่องถึงปัจจุบัน
หรือกล่าวได้ว่าประชาธิปไตยของเขามีรากเหง้ามาจากโบราณกาล
ในกรณีของไทยและประเทศกำลังพัฒนาต่างๆทั้งหลาย เราเอาของฝรั่งมา โดยเราไม่มีการยึดโยงกับรากเหง้าของเราเอง
รากเหง้าของพวกฝรั่ง คือ
1.ความคิดปราดเปรื่องและการปฏิบัติของพวกกรีกและโรมัน
2.ความเชื่อถือและประเพณีวัฒนธรรมของอารยธรรมยิว-คริสเตียน (Judeo-Christian Traditions)
3.การเจรจาต่อรองระหว่างผู้ปกครอง กับผู้เสียภาษี และผู้ถือครองทรัพย์สิน
แล้วเขาก็คิดขับเคลื่อนขับเคี่ยวกันมาเป็นประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม มีตัวแทน มีความทัดเทียมกันภายใต้กฎหมาย ก็เหมือนกับเราแต่งชุดสากลของฝรั่ง ก็ยังดูไม่สมน้ำสมเนื้อ เพราะมันไม่ใช่ของเรา ไม่ดูงามเหมือนนุ่งโจงกระเบน หรือจะดูสมาร์ทเมื่อใส่ผ้าขาวม้า ซึ่งจะแต่งอย่างไรก็เป็นตัวของตัวเอง
ฉะนั้น ถึงเวลาแล้วที่เราจะกลับมาเริ่มต้นที่รากของเรา อันได้แก่ ความเชื่อถือโบร่ำโบราณในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในธรรมะ คือพุทธศาสนา และ Hindu Buddhist Traditions ประเพณีวัฒนธรรมฮินดู-พุทธ และการเป็นสังคมแบบพ่อปกครองลูก เป็นต้น
ฉะนั้น การจะเขียนกฎหมายรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ เราก็น่าจะคิดเริ่มต้นจากความเป็นคนไทยที่มีประเพณีวัฒนธรรมและความเชื่อถือดั้งเดิม การนับถือศาสนาและการเป็นพหุสังคม พหุวัฒนธรรม โดยเฉพาะศาสนาอื่นๆ ในไทยก็มีคำสั่งสอนพื้นฐานเหมือนกัน คือการประพฤติตนให้เป็นคนดีและคำนึงถึงส่วนรวม
ในสังคมใดๆ ก็ต้องการคนดี และฉะนั้น กฎหมายบ้านเมืองก็ต้องเริ่มต้นที่คนที่มี “ธรรมะ” หรือคำสั่งสอนให้เป็นคนดี
ฉะนั้น การจะอยู่ในสังคมและโดยเฉพาะผู้ที่จะอาสาเข้ามารับใช้บ้านเมือง จะเป็นนักการเมือง หรือ เป็นข้าราชการทุกประเภท ก็ต้องเป็นคนดีเท่านั้น
ในพุทธศาสนามีคำสั่งสอนมากมายว่า จะเป็นคนดีอย่างไร และโดยเฉพาะผู้ที่ปกครองประเทศ หรือรับใช้บ้านเมืองจะเป็นอย่างไรอื่นใดไม่ได้ นอกจากดำรงธรรม
กษัตริย์ไทยต้องปกครองบ้านเมือง หรือเป็นองค์ประมุขประเทศ ก็ด้วยการยึดมั่นในหลักประชาธิปไตย และต้องปกครองแผ่นดินด้วยธรรม
ฉะนั้น หัวใจของกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก็ต้องเริ่มที่การกำหนดว่า สังคมไทยเป็นสังคมแห่งธรรมะ สังคมของเสรีชน สังคมแห่งการรับผิดชอบต่อส่วนรวม และสังคมแห่งการมีส่วนร่วมเป็นสำคัญ
นี่คือฐานรากเหง้า และจุดเริ่มต้นของประชาธิปไตยแบบไทยๆ
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี