เมื่อ “ทหาร” เข้ามาเดินอยู่ในพื้นที่ทางการเมืองมากขึ้น ย่อมเป็นธรรมดาที่ต้องตกเป็น “เป้า” ของการถูกวิพากษ์วิจารณ์ จนถึงขั้นถูกโจมตี โดยที่บ่อยครั้ง สถานการณ์ทางการเมือง “กระเพื่อม” ไปตาม “วุฒิภาวะทางอารมณ์”ของ “ทหาร” ที่ “กุมอำนาจสำคัญ”
ยกตัวอย่างเช่น ทหารที่มาเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นรัฐมนตรี และเป็นนักการเมือง ตลอดจนเป็นแม่ทัพ พูดอะไร เหวี่ยงอะไร สะบัดสะบิ้งอะไร ก็เป็นเป้าอีกฝ่ายหยิบไปตำหนิ ประจาน และตอบโต้ได้อยู่เนืองๆ
ล่าสุด พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ซึ่งแสดงตนเป็น “ขั้วตรงข้าม” กับทหารโดยเฉพาะกับ ผบ.ทบ. มาตั้งแต่ช่วงหาเสียงเลือกตั้งแล้วได้ให้ความเห็นว่า
“...ที่ตอนนี้ มีกลุ่มนักศึกษาอึดอัดการทำงานของรัฐบาล ซึ่งการชุมนุมของกลุ่มนักศึกษาที่เคลื่อนไหวอยู่ในขณะนี้ ส่วนตัวมองว่า เรื่องนี้เป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญที่จะสามารถทำได้จะรวมตัวให้มากกว่านี้ก็ได้เพราะทุกคนเป็นเจ้าของประเทศร่วมกันเมื่ออึดอัดจากการบริหารประเทศของผู้มีอำนาจเหตุใดจะแสดงความคิดเห็นไม่ได้ ถึงขั้นขับไล่ก็ยังทำได้ ส่วนที่ผู้บัญชาการทหารบกออกมาแสดงความเห็นว่าการชุมนุมครั้งนี้มีทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด กับกลุ่มการเมืองพรรคการเมืองนั้น
พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า “ฝากไปบอกว่าอย่าเสือกอย่ามาเสือกมายุ่งกับการเมือง เพราะหน้าที่ของทหารเป็นรั้วของชาติมีหน้าที่ป้องกันประเทศ ทุกวันนี้มีคนเข้ามาตั้งบ่อนการพนันในประเทศ แต่ทหารกลับไม่รู้เรื่อง เสียดินแดนมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง ก็เพราะไม่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี แต่กลับมาเสือกทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องของตัวเอง ส่วนตัวอยากให้ ผู้บัญชาการทหารบกรีบๆ เกษียณไป หากตนมีอำนาจคงไล่ออกจากตำแหน่งไปแล้ว ทุกวันนี้เพราะทหารทั้งนั้นที่เข้ามาเสือกเป็นนายกรัฐมนตรีก็ทหารยึดอำนาจเข้ามา ทั้งๆ ที่ประชาธิปไตยกำลังเดินไปได้ด้วยดี แต่กลับมาล้ม มองว่าที่ประเทศไม่เจริญอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะทหาร...” (ที่มา : เฟซบุ๊คเพจ The Reporters)
ด้วยถ้อยคำ ถือว่าแรงและหยาบ ซึ่งสอดรับกับพฤติกรรมธรรมดาของเจ้าตัว ที่ใช้ความแรงกับความหยาบเป็น “จุดขาย” อยู่แล้ว
น่าเสียดาย ที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ คิดแบบ “แยกขั้ว-แยกข้าง” เสียจนสติปัญญา “ดับ” ในบางแง่มุม
แกคงเชื่อของแกจริงจังละกระมัง ว่า “ประชาธิปไตยกำลังเดินไปด้วยดี แต่กลับมาล้ม” ที่จริงประชาธิปไตยในระบบ “ตัวแทน” นั้น ตัวแทนเองนั่นแหละ ที่ทำให้
ความเป็นประชาธิปไตย “ฉิบหาย”
กล่าวคือ รัฐบาลทักษิณ ซึ่งได้กฎหมายที่ให้ความเป็นประชาธิปไตยอย่างสุดๆ รวบรวม สส.ไปตั้งพรรคได้ ชนะเลือกตั้งแล้ว ยังควบรวมพรรคเล็กเข้ามาอีก จนกุมเสียงข้างมากอย่างเบ็ดเสร็จ หากแต่สันดานคงไม่เป็นประชาธิปไตยนัก จึงไม่ฟังเสียงข้างน้อยที่มีเหตุผล และใช้อำนาจใน ครม. ในสภาทำนโยบายที่คนอยากผลักดัน ผ่านกฎหมายที่ตนอยากผ่าน จนเกิดการ “ทุจริตเชิงนโยบาย” ขึ้นมากมาย นำความเสียหายมาสู่ประเทศชาติ ซึ่งคนอย่าง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ แกก็ไม่เชื่ออย่างนี้หรอก แกก็จะตะแบงไปได้ต่างๆ นานา
หลังจากนั้น ระบอบประชาธิปไตยก็ติดกับอยู่กับการเมืองแบบ “สืบทอดวงศ์ตระกูลและขี้ข้าบริวาร” เป็นการเมืองแบบ “นอมินี” ซึ่งไม่ได้สวยงามอะไรเลย แต่ก็นั่นแหละ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ก็คงไม่รู้สึกรู้สาอะไรอีก ลืมไปแล้วมั้ง ว่า “ถูกเลือกปฏิบัติอย่างไร” ในเวลานั้น
ครั้นถึงรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ถูกกล่าวหาว่า “ตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร” นั่นคือจุดเริ่มต้นของการ “ลากทหาร”ออกมารุมขย้ำ ว่าเข้ามา “เสือก” ทางการเมือง (ขออนุญาตใช้คำแบบเสรีพิศุทธ์)
ม็อบต้านอภิสิทธิ์ จึงด่าอภิสิทธิ์น้อยกว่าทหาร และเป็นทักษิณ ชินวัตร เอง ไม่ใช่หรือ ที่เปิดประเด็นต่อไปอีกเรื่อง “ไพร่-อำมาตย์” ด้วยน้ำเสียงและท่าทีอาฆาตพยาบาทอย่างที่สุด ยุคนั้นเองครับ ที่สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกจาบจ้วงอย่างเป็นระบบ อย่างต่อเนื่อง อย่างมีเครือข่าย จนส่งผลในการสร้างความรู้สึก “เกลียดทหาร-ชังสถาบัน” มายังคนรุ่นใหม่นี้ ที่บังเอิญ “รู้ความ” ในช่วงเวลานั้นพอดี ขณะที่คนรักสถาบัน ก็ซาบซึ้งดื่มด่ำอยู่ในหัวใจ มิได้คิดถ่ายทอดส่งต่อความจริงและความรู้สึกนั้นให้เป็นระบบ แม้กระทั่งกับลูกหลานในบ้านของตัวเอง
ครั้นเมื่อมาพูดถึงการเมือง ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองก็ลืมนึกไปว่า มีคนรุ่นใหม่ค่อยๆ ทยอย “รู้ประสา-รู้เดียงสา”ขึ้นทุกวันๆ ในเวลานั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9ทรงพระชราภาพ เด็กรุ่นนั้นไม่ทันเห็นว่าพระองค์ท่านทรงตรากตรำเพียงใด ในการทำนุบำรุงอาณาประชาราษฎร์และประเทศชาติของเรา เขาเกิดมาในยุคที่บ้านเมือง “ดีแล้ว”
จึงด้วยประสบการณ์อันสั้น ไม่ทันเห็น ด้วยการ“รู้ความทางการเมือง” ในยุคที่ทัศนคติแบบ ต้อง “เกลียดทหาร-เกลียดเจ้า” ถูกปลุกเร้าอย่างเป็นระบบ วันนี้กองทัพ ฝ่ายความมั่นคง ตลอดจนผู้บริหารประเทศ มาบอกให้รัก ให้เชื่อให้เห็นคุณค่า มันก็ถือว่า “ช้าและไม่ง่าย” ไปเสียแล้ว
นอกจากวิงวอนให้รัก ให้ศรัทธา ได้ทำสิ่งใดเป็นรูปธรรมให้คนรุ่นใหม่ประจักษ์ในคุณค่าของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ด้วยตนเองบ้าง อย่าลืมว่าคนเชื่อและซึ้งในสิ่งที่ตนเองเจอ ไม่ใช่ในสิ่งที่เล่าต่อๆ กันมา และโชคดีว่าที่ผ่านๆ มา ไม่มีกระบวนการต้าน ป้ายสี ใส่ความ อย่างเป็นระบบและ “เข้าถึงตัวคน” อย่างในปัจจุบัน
มาถึงยุคปัจจุบัน จึงต้องคิดอะไรกัน และทำอะไรกันให้มากกว่าเดิมได้แล้ว!!
อย่าลืมว่า ในหลวงรัชกาลที่ 9 กับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ท่านทรงต่อสู้กับลัทธิคอมมิวนิสต์ด้วย “ความรักและความเอาพระทัยใส่” ต่อราษฎรในทุกพื้นที่ โดยมิทรงแบ่งแยก แม้กระทั่งในถิ่นทุรกันดารห่างไกล แม้ในพื้นที่ที่ได้ชื่อว่าเป็นพื้นที่ของ “คอมมิวนิสต์” พระองค์ก็ทรงไปเยี่ยม “ราษฎร” โดยมิได้ทรงแบ่งแยกว่าเป็นไทยหรือเป็นคอมมิวนิสต์
ความรัก ความอ่อนโยน ความเมตตา ความเท่าเทียมกัน คือสิ่งที่ “มัดใจ” คนไทยทั้งปวง จกท่านกลายเป็น “พ่อของแผ่นดิน” ในความรู้สึกของผู้คนที่ประจักษ์อย่างแจ่มชัดถึง “ความรักที่มีอยู่จริง” ในยามนั้นนั้น ทหาร ตำรวจแพทย์ข้าราชการ ก็พลอยได้รับความรักไปด้วย เพราะได้ช่วยพระเจ้าแผ่นดินบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่ประชาชน ไม่มีใครชังกัน มีแต่บรรยากาศที่เป็นบวก จึงต้องย้อนกลับไปเรียนรู้ ไปถอดรหัสความสำเร็จของการสร้าง “แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง” ในยุคนั้นกลับมาประพฤติปฏิบัติกันใหม่ไม่คิดแต่จะเอานะกันชนิด “ตายกันไปข้างหนึ่ง” แบบอารมณ์ของคนสมัยนี้
พอมาถึงยุคยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกฯ มันคือหลักฐานที่ยืนยันว่า ฝ่ายคนรักทักษิณยังมีอยู่ และเชื่อด้วยว่า ทหาร อำมาตย์ และประชาธิปัตย์ ฉวยโอกาสและรวมหัวกันเบียดขับทักษิณและพวกออกจากพื้นที่ทางการเมือง จึงพร้อมใจกันเลือกพรรคเพื่อไทย จนยิ่งลักษณ์ได้เป็นนายกฯ
ในยุคยิ่งลักษณ์ เบื้องแรก ประชาธิปไตยไม่ได้เสียหายอะไร ขนาดน้ำท่วมใหญ่ ยังไม่มีแรงสะเทือนทางการเมืองกับเธอเลย มามีปัญหาเอาต่อเมื่อ โครงการรับจำนำข้าวไม่มีเงินจ่ายชาวนา และดันมาฉวยโอกาส เอาเสียงข้างมากในสภา ฝืนหลักนิติรัฐนิติธรรม ออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ตีสามตีสี่โน่นมันเลยจุดที่สามารถเรียกว่า “ประชาธิปไตยกำลังไปได้ดี” อย่างที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าวไปแล้วอย่างสิ้นเชิง
แต่เป็นประชาธิปไตยเพื่อประโยชน์ของฝ่ายข้างมาก!!
เปิดทางให้นายสุเทพ เทือกสุวรรณ ลาออกจากการเป็น สส. เป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ มาเป็นแกนนำการชุมนุมในนาม กปปส. ส่งได้อานิสงส์ มีอำนาจต่อรองอำนาจในการเจรจากับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่ในปัจจุบัน จนอีกไม่นาน อาจมีกฎหมายนิรโทษกรรมออกมา ท่ามกลางการหนุนของฝ่ายสมาชิกรัฐสภา และองคาพยพอื่นๆ ที่ล้วนได้ประโยชน์โดยตรงกันทั้งสิ้น
ประชาธิปไตยไม่ได้ไปได้ดีอย่างที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ อ้าง มันเป็นประชาธิปไตยที่ยังถูกใช้อย่างเลวทรามอยู่ เสียงเรียกร้องให้ “ปฏิรูป” จึงดังกระหึ่ม
ทหารที่หมดความน่าเชื่อถือ หมดความชอบธรรม ตั้งแต่ยุคปราบปรามประชาชน ในเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ” จึงได้รับโอกาสฟื้นคืนทางการเมืองอีกครั้ง
ความสุดโต่งของสีเสื้อในฝ่ายประชาชน ที่มีฝ่ายการเมืองเป็นผู้จัดตั้งขึ้น กำลังจะถูกปั่นให้ “ปะทะกัน” ทหารที่ล่วงรู้ความเคลื่อนไหวนั้น เพราะเห็นความผิดปกติของการเคลื่อนย้ายอาวุธ จึงเข้ามาหยุดอย่างละมุนละม่อมด้วยการประกาศ “กฎอัยการศึก” เพื่อให้ฝ่ายการเมืองไปแก้ปัญหาการเมืองที่ติดขัดและถึงทางตันกันเองก่อน แต่เมื่อฝ่ายการเมืองยังไม่ยอม “ถอย” หรือเปิดโอกาสให้ประเทศชาติได้ไปต่อในวิถีทางประชาธิปไตย สุดท้าย ทหารก็ทุบโต๊ะเปรี้ยง!!! ยึดอำนาจ!! ท่ามกลางความยินดีปรีดาของประชาชนที่ต้องการเห็น “ความสงบ” แม้มีบ้างที่ออกมาชู 3 นิ้ว ต่อต้านการรัฐประหาร
ในเวลานั้น หน้าที่ของ “ทหาร” คือ เข้ามาเป็น “คนกลาง” ดำเนินการ “ปฏิรูป” และคืนบ้านเมืองสู่การเลือกตั้ง โดยที่ทหารควรถอยกลับเข้ากรมกองไปเสีย
แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น การปฏิรูปไม่คืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม ใช้เงินไปเยอะ ตั้งกรรมการขึ้นหลายชุด สุดท้ายสิ่งที่ทำได้ชัดเจนกว่า คือ แก้กติกาให้ฝ่ายตนเองได้เปรียบในการแข่งขัน ชนิดที่นักการเมืองบางคนพูดว่า รัฐธรรมนูญดีไซน์มาเพื่อเรา อีกคนที่ย้ายมาจากพรรคเพื่อไทย บอกว่าเขาเขียนรัฐธรรมนูญให้บางพรรคชนะ ไม่ย้ายก็โง่แล้ว ขณะที่นายบวรศักดิ์อุวรรโณ ก็เคยหลุดปากออกมาว่า “เขาอยากอยู่ยาว”
ทหารเคยรุ่ง เพราะคนรู้สึกว่า นักการเมืองมันเลวเหมือนๆ กันหมด มีอำนาจ ก็เอาไปหาประโยชน์ และจ้องแต่จะห้ำหั่นกัน ในช่วงนั้น กระแสทหารสูง กระแสนักการเมืองตกต่ำ
แต่พอทหารไม่ถอย ยังอยู่ในอำนาจผ่านพิธีกรรมการจัดตั้งพรรคการเมือง การเลือกตั้ง การคำนวณคะแนนแบบพรรคที่คะแนนไม่ถึงเกณฑ์พึงมี สส. ก็มี สส.ได้ การร้องเรียนทุจริตการเลือกตั้งทั้งหลายถูกตีตก ฯลฯ
เป็นรัฐบาลมาพักหนึ่ง ยังแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ วุ่นวายอยู่กับการ “หาจุดสมประโยชน์ทางการเมือง” ให้แก่นักการเมืองในพรรคที่ตัวเองอาศัยอยู่ เป็น “เชื้อ” ให้เกิดม็อบนักศึกษาขึ้นมา ซึ่งแน่นอนว่า นอกเหนือจากความคิดของตัวเอง นักศึกษาอาจมีความคิดอื่นชี้นำด้วย แต่ก็อย่าไปมองว่าเขา “ไม่ได้คิดเอง” เพราะมันอาจหมายถึงการ“เห็นพ้องัน” ในชุดความคิดก็ได้
เวลานี้จึงเห็นว่า หลายฝ่ายเรียกร้องให้นักศึกษา “ปรับท่าที” ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลก็ควร “รับฟัง” ถึงขั้นเสนอให้มีกรรมาธิการวิสามัญ “รับฟังปัญหา” ทั้งจากนักศึกษาและฝ่ายอื่นๆ ขึ้น และข้อเรียกร้องบางเรื่อง ก็มี “แนวร่วม”เช่นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อาทิ
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข กล่าวว่า หลายเรื่องนำมาพิจารณาได้ เช่น การแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งพรรคภูมิใจไทยพร้อมแก้ไข แต่ต้องเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) มีการทำประชามติ และถ้าทุกคนเห็นด้วยก็ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ซึ่งควรเป็นไปตามขั้นตอนทางการเมือง และเป็นกระบวนการประชาธิปไตย แต่ส่วนตัวไม่เห็นด้วย หากจะให้ยุบสภา โดยไม่แก้รัฐธรรมนูญ เพราะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
นายเทพไท เสนพงศ์ สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ บอกว่า “...ตนขอเสนอให้รัฐบาลได้ให้ความสำคัญและติดตามการชุมนุมของนักเรียน นักศึกษาอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้ปัญหาลุกลามไปมากกว่านี้ รัฐบาลโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ควรจะรับข้อเรียกร้องประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเอาไว้ก่อน เพราะเป็นปัญหาใหญ่ และหัวใจของการชุมนุมที่สังคมให้การสนับสนุนด้วย ซึ่งข้อเรียกร้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญของกลุ่มนักศึกษาก็สอดคล้องกับนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลอีกด้วย ไม่ควรจะโยนเรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎร โดยข้ออ้างว่า ได้มีคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์และแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ขึ้นมาแล้ว เป็นการแก้ปัญหาไม่ถูกจุด เกาไม่ถูกที่คันเพื่อเป็นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม สกัดไม่ให้สถานการณ์การชุมนุมขยายตัวลุกลามไปมากกว่านี้ พลเอกประยุทธ์ควรถอดสลัก หรือขนวนความขัดแย้งด้วยตัวเอง ประกาศให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเสียเอง ก็อาจจะทำให้สถานการณ์การชุมนุมคลี่คลายลงไปได้
ส่วนการที่สภาผู้แทนราษฎรมีมติให้แต่งตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อรับฟังความเห็นของนักศึกษาจำนวน 39 คน และพรรคร่วมฝ่ายค้านประกาศบอยคอตไม่เข้าร่วมสังฆกรรมด้วย ก็เป็นสิทธิ์ของพรรคฝ่ายค้านที่สามารถกระทำได้ แต่เพื่อให้ครบองค์ประกอบของคณะกรรมาธิการวิสามัญชุดนี้ ก็ต้องแต่งตั้งกรรมธิการเพิ่มเติมจากพรรคร่วมรัฐบาลทดแทนในสัดส่วนของพรรคฝ่ายค้านที่หายไปโดยเร็วที่สุด เพื่อให้คณะกรรมมาธิการวิสามัญชุดนี้ได้ทำงานได้อย่างรวดเร็ว เพื่อลบคำครหาว่า เป็นการซื้อเวลา เตะล่วงปัญหาให้กับรัฐบาล ตามที่พรรคฝ่ายค้านกล่าวหาไว้”
ก่อนหน้านี้ตั้งแต่ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ทหารเองปะทะกับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ มาหลายยก จนกลายเป็น “อริ” กันไปโดยปริยาย รอบนี้ สิ่งที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ พูด และทหารควรฟัง คือการอยู่ในพื้นที่ของตัวเอง หยุดการคุกคามเข้ามาในพื้นที่การเมือง
แต่การเมืองก็ต้องพัฒนาคุณภาพของตัวเองด้วย หากเอาแต่ทำงานแบบในกรรมาธิการ ป.ป.ช. ที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เป็นหัวหน้าอยู่ ก็ไม่ใช่ฝ่ายการเมืองที่มีคุณภาพเช่นกัน
ดังนั้น ต้องปรับไปด้วยกันทั้งทหารและการเมือง!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี