จากการเสียชีวิตของดาบวิเชียร ถึงการเสียชีวิตฉับพลันของนายจารุชาติ มาดทอง พยานปากเอกที่เข้ามาพลิกคดี จนอัยการสั่งไม่ฟ้อง ยิ่งทำให้การบิดเบือนกระบวนการยุติธรรมในคดีนี้มีพิรุธ น่าเกลียดมากขึ้น
1.กรณีการสั่งไม่ฟ้องนายบอส อยู่วิทยา
หากมีใครที่ชักใยบงการในเรื่องนี้ มันคงคิดว่าคนไทยโง่ กินหญ้า ไม่รู้จักดูข่าวต่างประเทศ หรือคงไม่มีน้ำยาจะคัดง้างอะไรได้ เรื่องอุบาทว์นี้จึงไปโผล่จากข่าวประเทศก่อนที่คนไทยจะได้รับรู้ข่าวอื้อฉาวจากสื่อไทยเอง
ทั้งๆ ที่ เรื่องคดีนายบอสนั้น คนไทยให้ความสนใจมากตั้งแต่แรก
เมื่อมาทราบข่าวการสั่งไม่ฟ้องทุกข้อหาเอาจากต่างประเทศ คนไทยจำนวนไม่น้อยจึงรู้สึกเสมือนหนึ่ง “ถูกลักหลับ”หรือ “ถูกตีนแมวยกเค้า”
2.กรณีการเสียชีวิตฉับพลันของพยานปากเอก นายจารุชาติ
อย่าลืมว่า นี่คือพยานปากเอก ที่อ้างตนเป็นประจักษ์พยานในที่เกิดเหตุเมื่อ 3 ก.ย. 2555
นายจารุชาติ เคยเข้ามาให้การครั้งหนึ่ง หลังเหตุการณ์ไม่กี่วัน แต่ครั้งนั้นไม่ได้ยืนยันเรื่องความเร็วของรถนายบอส และพฤติการณ์ของรถจักรยานยนต์ของดาบวิเชียร
7 ปีผ่านไป โผล่มาให้การอีกครั้ง เมื่อ 4 ธ.ค.2562
คราวนี้มาพร้อม พล.อ.ท.คนหนึ่ง ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับครอบครัวฝ่ายแม่ของนายบอส
ทั้งคู่ให้การยืนยันว่า นายบอสขับรถความเร็วแค่ 50-60 กม./ชม.แถมให้การซัดทอดดาบวิเชียรว่าขับรถจักรยานยนตร์เปลี่ยนเลนกะทันหันจนในที่สุด ก็เกิดเหตุขึ้น ทำให้อัยการเชื่อว่า นายบอสไม่ประมาทแต่เป็นเหตุสุดวิสัย สั่งไม่ฟ้อง
นายจารุชาติ เป็นใคร เหตุใดจึงให้การเพิ่มเติม เป็นคุณแก่ดาบวิเชียร ตามแนวทางที่ พล.อ.ท.ซึ่งสนิทกับฝ่ายแม่นายบอส หลังเหตุการณ์ผ่านไปแล้วถึง 7 ปี ราวกับว่าเหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
แม้แต่แม่บังเกิดเกล้า ลูกสาว และคนในครอบครัวของนายจารุชาติ ยังไม่ทราบว่านายจารุชาติไปให้การในคดีสำคัญตั้งแต่เมื่อไหร่ อย่างไร และทำไม?
ท่ามกลางความสงสัยของวิญญูชน คำให้การของนายจารุชาติเกิดประโยชน์แก่ฝ่ายนายบอส อยู่วิทยา เต็มๆ โดยคำให้การถูกใช้ในทางคดีไปแล้ว ขณะที่คณะกรรมการต่างๆ เตรียมจะเรียกนายจารุชาติเข้ามาชี้แจงความจริง
ลองคิดดู ถ้านายจารุชาติกลับคำให้การ หรือถูกซักถามจนไม่สามารถชี้แจงได้อย่างสมเหตุสมผล โดยสุจริตใจ อะไรจะเกิดขึ้น?
จากพยานปากเอก ก็จะกลายเป็นเหมือนตะปูที่ถูกยึดเป็นหลัก แต่ถูกถอนออกมา แล้วตามมาด้วยการรื้อพยานหลักฐานในทางคดีทั้งหมด เพื่อนำไปสู่ตัวการที่ชักใยอยู่เบื้องหลังทันที!
อนิจจา... ทันใดนั้น ปรากฏว่า นายจารุชาติเสียชีวิตฉับพลัน บนท้องถนนที่จังหวัดเชียงใหม่
3.คู่กรณีของนายจารุชาติ กลับคำให้การ
นายจารุชาติเสียชีวิตหลังเกิดเหตุมอเตอร์ไซค์เฉี่ยวชนกับนายสมชาย ตาวิโน เมื่อเวลาประมาณ 01.30 น. ของวันที่ 30 ก.ค. 2563 ที่จังหวัดเชียงใหม่
ก่อนหน้านี้ นายสมชายให้การยืนยันว่า ไม่รู้จักกับนายจารุชาติ ไม่ทราบว่าเป็นใคร ไม่เคยพบไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ตนถูกนายจารุชาติชนท้าย แล้วรถจักรยานยนต์ของตนล้มลงเกาะกลางถนนแล้วสลบไป ไม่ทราบเหตุการณ์ต่อจากนั้น เมื่อมาฟื้นที่ รพ.มหาราชเชียงใหม่ จึงได้แจ้งสิทธิการรักษา แล้วขอหมอออกจาก รพ. โดยที่ตนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย และได้เดินทางมาที่ สภ.ภูพิงคฯ เพื่อมาติดตามเอารถของตนคืนโดยไม่ได้บอก หรือขออนุญาตใคร เมื่อนำรถกลับไปที่ห้องพักได้ดัดป้ายทะเบียนรถให้ตรง เนื่องจากป้ายทะเบียนหลุดและงอบิดผิดรูป
ล่าสุด ตำรวจได้ติดตามแกะรอยโดยย้อนเส้นทางของการขับขี่กลับไปตามต้นทาง จนพบว่านายสมชายได้ไปกินดื่มที่ร้านอาหารคาราโอเกะแห่งหนึ่งในพื้นที่ตำบลแม่เหียะ และได้พบหลักฐานสำคัญเป็นกล้องวงจรปิดและพยานบุคคลเป็นเจ้าของและพนักงานในร้าน จนทราบความจริงว่านายสมชายให้การไม่ตรงกับความจริง จึงได้เรียกมาสอบเพิ่ม
คราวนี้ ปรากฏว่า นายสมชายจำนนด้วยพยานหลักฐาน จึงกลับคำให้การ
ยอมรับว่า ได้ไปกินดื่มในร้านอาหารจนกระทั่งร้านใกล้จะปิด เช่นเดียวกันกับนายจารุชาติผู้ตายที่ไปนั่งกินดื่มแต่ไม่ได้ไปด้วยกัน ไม่ได้ร่วมโต๊ะเดียวกัน จังหวะที่ร้านกำลังจะปิดจึงมาเจอกันที่หน้าร้าน ด้วยอาการเมาทั้งคู่จึงได้พูดคุยกันถูกคอ และชวนกันไปดื่มต่อ โดยนายสมชายได้ชวนนายจารุชาติว่าจะพาไปหาคนชื่อน้องแหวนในตัวเมืองเพื่อดื่มเหล้ากันต่อ หลังจากนั้น ก็ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ตามกันมาในลักษณะที่เมา มีการขับเฉี่ยวกันไป-มา จนกระทั่งมาถึงจุดเกิดเหตุ ผู้ตายพยายามจะแซง แต่เฉี่ยวชนกันจนเกิดอุบัติเหตุดังกล่าว
นายสมชายอ้างว่า ที่ให้การไปว่าไม่รู้จักกัน ก็ด้วยความเมา ยอมรับว่าเพิ่งมารู้จักกันที่หน้าร้านเหล้าดังกล่าว
4.สว.คนดัง กลับลำ รับว่ารู้จักกับนายจารุชาติ
ก่อนหน้านี้ นายชูชัย เลิศพงศ์อดิศร หรือ “สว.ก๊อง” อดีตสมาชิกวุฒิสภา ว่าที่ผู้สมัครนายก อบจ.เชียงใหม่ เคยตอบคำถามนักข่าว กรณีไปพบว่านายจารุชาติทำงานกับสำนักงานที่อยู่ในพื้นที่บ้านของตนเอง โดยปฏิเสธว่าไม่เคยรู้จัก ไม่เคยพบ ไม่เคยเห็นหน้านายจารุชาติ พร้อมปฏิเสธว่าไม่รู้จักสัมพันธ์กับคนตระกูลอยู่วิทยา
ล่าสุด “สว.ก๊อง” แถลงข่าวที่สำนักงานพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่าไม่ได้รู้จักหรือสนิทสนมใกล้ชิดนายจารุชาติเป็นการส่วนตัว แต่ยอมรับว่ามีคนรู้จักของตัวเองชื่อ “หมู” ที่เป็นเจ้าของร้านกุ้งเผาแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ และนำนายจารุชาติ มาฝากให้ช่วยรับทำงานทั่วไปเมื่อหลายเดือนที่แล้ว ซึ่งจะมีการเรียกใช้งานเป็นครั้งคราวเพื่อทำงานในส่วนของการดูแลสนามฟุตบอลของสโมสร แต่ไม่ใช่งานประจำ ทำให้นายจารุชาติ จะไปๆมาๆ เพราะต้องไปทำงานที่อื่นด้วย อย่างไรก็ตามบางครั้งนายจารุชาติ จะใช้พื้นที่ในโกดังเก็บของหลังบ้านน้องสาวของตัวเองในย่านแม่เหียะและเป็นที่ตั้งสำนักงานกฎหมายเป็นที่พัก ทั้งนี้ ที่ผ่านมาไม่เคยทราบมาก่อนว่านายจารุชาติมีชื่อจริงว่าอะไร เพราะรู้จักและเรียกชื่อว่า “แก้ว” มาตลอด และไม่ทราบด้วยว่าเป็นพยานในคดีนายบอส จนกระทั่งก่อนที่นายจารุชาติจะเสียชีวิตเพิ่งทราบ และเตรียมจะเรียกมาสอบถาม แต่ว่าเกิดเหตุเสียก่อน
ส่วนข้อสงสัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับตระกูล“อยู่วิทยา” และเครือเรดบูล นายชูชัยยอมรับว่า มีความสัมพันธ์และรู้จักกันในฐานะที่เป็นผู้สนับสนุนสโมสรฟุตบอลเชียงใหม่ยูไนเต็ด ด้วยเงินสนับสนุน 10 ล้านบาท เป็นเวลา 3 ปี ส่วนร้านอาหารผาลาดตะวันรอนที่มีการระบุว่าหุ้นส่วนกันทำนั้น ตัวเองไม่ได้เป็นเจ้าของแล้ว อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่รู้จักกันยอมรับว่าเคยมีการพูดคุยกันอยู่บ้างเกี่ยวกับคดีนายบอส แต่เป็นในลักษณะของการเล่าสู่กันฟังเท่านั้น และยืนยันว่าไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องหรือรับปากวิ่งเต้นช่วยเหลือใดๆ ในคดีดังกล่าว
สำหรับ สว.ก๊อง เป็นผู้กว้างขวางที่เชียงใหม่ มีเครือข่ายทนายความ นักกฎหมาย และสนิทสนมกับเจ๊แดง-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ รวมถึงนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งเป็นอดีตผู้พิพากษา
5.นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมาย ในฐานะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ (ชุดที่มีนายวิชา มหาคุณ เป็นประธาน) ระบุว่า การเสียชีวิตของนายจารุชาติ เป็นการเสียชีวิตที่ผิดธรรมชาติ และสังคมยังมีความเคลือบแคลงสงสัยเป็นอย่างมาก ตนจึงเห็นว่า พนักงานสอบสวนควรที่จะต้องดำเนินการชันสูตรพลิกศพตามกฎหมายเพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตว่ามาจากอะไร ทั้งนี้ จะส่งผลให้การตรวจสอบข้อเท็จจริงคดีนี้เกิดความชัดเจนอย่างรอบด้าน และเห็นว่าหากไม่มีการชันสูตรพลิกศพ อาจเป็นการไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมาย
“สิ่งที่เกิดขึ้นในคดีของนายวรยุทธ ไม่เพียงแต่จะเกิดความไม่ยุติธรรมในเฉพาะคดีนี้ แต่ได้ส่งผลกระทบและเกิดความเสียหายกับประเทศ เนื่องจากสื่อต่างประเทศก็ให้ความสนใจเรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้น หน่วยงานและบุคคลที่เกี่ยวข้องในคดี จะต้องดำเนินการทุกขั้นตอนให้เกิดความชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยในหมู่ประชาชน”
6.ขอสนับสนุนให้มีการตรวจสอบหาข้อเท็จจริงให้ถึงที่สุด เปิดโปงต่อสาธารณะเพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากสังคมกลับคืนมาให้ได้ และ
ดำเนินการเอาผิดให้ถึงที่สุด สำหรับใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับการบิดเบือนบิดผันกระบวนการยุติธรรม เสมือนหนึ่งดูถูกสติปัญญาของคนไทยถึงปานนั้น
วิญญูชนผู้มีใจเป็นธรรม แม้แต่ในแวดวงตำรวจและอัยการ ต่างติดตามข่าวนี้ และรู้สึกเหมือนจะอาเจียน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี