วันอังคาร ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ปัจจัยสำคัญที่จะลดกระแสการทุจริตคอร์รัปชั่นในการเมืองไทยน่าจะมีหลายประการ แต่ปัจจัยที่สำคัญและปัจจัยนำที่จะต้องฟูมฟักให้บังเกิดขึ้นในเบื้องต้น ก็คือ กระบวนการสร้างสภาวะผู้นำทางปัญญา
ผู้คนในสังคมตามปกติ ก็จะทุ่มเทไปที่พลังแห่งศีลธรรม เพื่อขจัดการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งก็อาจจะถูกหลักของ “ตรรกะ” (เหตุผล) แต่จะง่ายขึ้นหากเกิดขบวนการตื่นตัวทางสังคมด้านปัญญาและความรู้สึกนึกคิด ดังที่ในอดีต เมื่อเกิดกระแสการปฏิวัติทางปัญญา ความคิด-ความรู้ ที่เรียกกันว่า “ขบวนการฟื้นฟูศิลปวิทยา...” ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 ในยุโรปตะวันตก ก็มีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งการเมือง การเศรษฐกิจ และสังคม ตลอดจนนำไปสู่การปฏิรูปทางศาสนาในที่สุด
หรือในสมัยต่อๆ มา ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 เมื่อเกิดขบวนการตื่นตัวทางการเมือง ในยุค “รู้แจ้ง”(Enlightenment) ในฝรั่งเศส โดยมีนักปราชญ์ นักคิดมากมายเช่น วอลแตร์, มองเตสกิเออ, รุสโซ ได้เขียนหนังสือวิพากษ์วิจารณ์ระบบการเมือง-สังคม และปลุกระดมให้ปัญญาชนในกรุงปารีสได้ตื่นตัว และวิพากษ์วิจารณ์สังคมของชนชั้นสูงในสมัยนั้น จนในที่สุดนำไปสู่การปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่ ใน ค.ศ. 1789 และพลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์ยุโรป ไปสู่ยุคประชาธิปไตยในศตวรรษต่อมา
นี่คือตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ด้วยปัจจัยของการปฏิวัติทางความคิด ความรู้ และศิลปวิทยา รวมทั้งปรัชญาการเมือง ทั้งในสงครามกู้อิสรภาพในอเมริกา และการปฏิวัติ ค.ศ. 1789 ในฝรั่งเศส
สังคมไทย ไม่น่าจะก้าวไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงอีกทั้งการปฏิรูปสังคม-การเมือง (เช่น การขจัดการทุจริตคอร์รัปชั่น) ตามที่คาดหวังคงไม่เกิดขึ้นโดยปราศจากการถือธงนำของผู้นำทางความคิดและปัญญาชน ลำพังท่านผู้นำรัฐบาลก็คงจะอ่อนล้าที่ต้องเผชิญกับแรงเสียดทานจากขบวนการทางการเมืองแบบเก่า ที่ยังคงติดนิสัยการเล่นการเมืองแบบ“ในตลาดขายของสด” ที่มีการต่อรองราคา หรือโกงน้ำหนักกันอยู่เสมอ
ฉะนั้น ในจังหวะนี้ สื่อมวลชนคือปัจจัยตัวแปรที่จะช่วยประคับประคองให้ท่านนายกรัฐมนตรีได้เดินทางโดยสะดวกบนเส้นทางอันแสนจะขรุขระ ขณะเดียวกัน การประนีประนอมเรื่องการปฏิรูป โดยเฉพาะ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ควรจะเป็นวิถีทางสายกลางที่ผู้คนส่วนมากน่าจะเห็นชอบ
ในอนาคตอันใกล้ หากรัฐบาลได้เปิดทางให้มีการปฏิรูปการศึกษาเพื่อสร้างเยาวชนรุ่นใหม่ที่จะเป็นพลเมืองที่เข้าใจการเมืองอย่างลึกซึ้ง โดยการปฏิรูปการเรียนรู้ทางปรัชญาการเมือง และจริยธรรมการเมือง ทั้งการฝึกหัดครู และการปรับหลักสูตร “Liberal Art” ปีที่ 1-2 ระดับอุดมศึกษา เพื่อสร้างผู้นำทางความคิดและอุดมการณ์ ก็จะเป็นการปูทางไปสู่ ประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาสายกลาง ที่พลเมืองตื่นรู้ก็จะช่วยเป็นพลังยับยั้งการเล่นการเมืองแบบ “การต่อรองในตลาดสด” และเริ่มยึดถือหลักการและผลประโยชน์สาธารณะเป็นเป้าหมายสำคัญของภารกิจของผู้แทนราษฎรและรัฐมนตรี
การสร้างปัญญาชนรุ่นใหม่ให้เป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติ เป็นผู้ตื่นรู้ เป็นปัจจัยตัวแปรที่จะช่วยค้ำชูและส่งเสริมนโยบายสาธารณะที่ดี จึงน่าจะเป็นเป้าหมายสำคัญเป้าหมายหนึ่งของรัฐบาลชุดนี้ แต่วิธีการที่จะสร้าง “ปัญญาชน” คงไม่ได้มีคำตอบแบบเบ็ดเสร็จ สิ่งที่อาจจะทำได้คือ การปฏิรูปอุดมศึกษาดังที่อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ได้วางแผนไว้แล้ว โครงการที่สำคัญ ได้แก่ การสร้างงานและนวัตกรรมการผลิตในชนบท โดยมอบให้มหาวิทยาลัยในภูมิภาคเข้าไปมีบทบาทสำคัญ 1 ตำบล ต่อ 1 มหาวิทยาลัย ซึ่งคิดว่าท่านรัฐมนตรีคนใหม่ (คาดว่าจะเป็น ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์) คงจะสานต่อและดำเนินการปฏิรูประบบการเรียนการสอนระดับอุดมศึกษา ทั้งแนวกว้างและแนวลึก รวมทั้งให้เกิดความหลากหลาย สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย (นักศึกษา) และพื้นฐานดั้งเดิม และศักยภาพของอาจารย์
ในทศวรรษแรกๆ ได้เน้นการปฏิรูปการศึกษา (ทั้งคุณภาพและปริมาณ) ระดับต้น และระดับมัธยมศึกษาภาคบังคับ เพราะนั่นคือความจำเป็น และเมื่อการศึกษาภาคบังคับและการศึกษาพื้นฐานได้ขยายเชิงปริมาณไปมากพอสมควร ก็จะต้องมุ่งสร้างคุณภาพให้ดีเยี่ยม การปฏิรูปการฝึกหัดครูจึงเป็นเป้าหมาย และยกระดับการเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษา ทั้งในเชิงกว้าง (Liberal Education) และในเชิงลึก (วิชาเฉพาะ, วิชาชีพเฉพาะทาง) จึงน่าจะเป็นเป้าหมายสำคัญ
ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ผู้มีประสบการณ์ทั้งวิชาชีพ และทางการเมือง น่าจะเป็นกำลังสำคัญทางด้านการศึกษาให้แก่รัฐบาลภายใต้การนำของท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ถึงเวลาแล้วสำหรับการก้าวต่อไปสู่การปฏิรูปในยุคที่ 3
โดยสรุป การจุดประกายความคิดเพื่อที่จะปฏิรูปการศึกษาในระดับอุดมศึกษา ซึ่ง ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์เป็นผู้คิดริเริ่ม คงจะไม่สูญเปล่า และหากรัฐบาลชุดนี้ยังคงดำรงอยู่จนครบเทอม หรือต่อไปอีก 1-2 ปี กระแสของการเปลี่ยนแปลงน่าจะก่อให้เกิดขบวนการของ “ปัญญาชน” ที่จะช่วยกันชี้แนะเส้นทางที่สังคมการเมืองไทยน่าจะดำเนินต่อไป เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของชนชาติไทย และเพื่อนร่วมโลกในอนาคตอันไม่มีจบสิ้น
บทบาทของสื่อสารมวลชนจึงมีความสำคัญ ทั้งเป็นเครื่องมือที่จะส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีในสังคม รวมทั้งเป็นเครื่องเตือนสติสังคมที่อาจจะพากันดิ่งลงเหวเพราะความหลงผิด และกระแส ขณะเดียวกัน การปฏิรูปการเรียนรู้โดยเฉพาะในหมวดวิชาสังคม-การเมือง การสื่อสาร ก็ควรจะอยู่ในความสนใจของนักการศึกษาทั้งหลาย เพราะอิทธิพลของสื่อที่หลากหลาย ย่อมสร้างความหลงผิด คิดไขว้เขวในหมู่ประชาชนได้เสมอ การศึกษาวิชาประวัติศาสตร์ (รวมนานาชาติ) และการเมือง จึงมีความจำเป็น เพื่อสร้าง “พลเมือง” ให้รู้เท่าทันกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก
การมองออกไปนอกสังคมไทยบ่อยๆ ก็อาจจะช่วยให้เราปรับตัวได้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมนานาชาติ ทำให้เรารู้จักตัวตนของเราดีขึ้น ทั้งจุดอ่อน จุดแข็ง และคงจะไม่คิดเอาเปรียบเพื่อนร่วมชาติ ด้วยการยักยอกทรัพย์สมบัติของส่วนรวม (งบประมาณ) เพื่อตนเองและครอบครัวของตนเอง เพราะในที่สุด การขาดทุนของรัฐก็คือ การขาดทุนของพวกเราทั้งหลายนั่นเอง

‘เจมส์ – กาด – แฟ้ม – แมทธิว’ พร้อมส่งหัวใจเตรียมรับสัญญาณเตือน ในซีรีส์ ‘Love Alert มีคำเตือนโปรดระมัดระวัง’
จับตา! ปี 2569 ช่อง 7HD กับปรากฏการณ์ข่าวโฉมใหม่ 'มีเรื่องต้องคุย'
‘กรีน ปัฐยฬุรี’ เปิดตัวซิงเกิลพิเศษ only us mode ส่งท้ายปี
เจรจา3ฝ่ายชื่นมื่น จีนยืนยันไม่แทรกแซง ช่วยเขมร20ล้านหยวน ‘ทรัมป์’โผล่ร่วมยินดี
วาทกรรมสีส้มVSความจริงสีเทา คมมีดที่หันกลับมาฟันตัวเอง

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี