วิญญูชนในสังคมไทยตั้งคำถามว่า เกิดอะไรขึ้นกับกลุ่มคนที่ป่าวประกาศอ้างตัวเป็นนิสิต นักศึกษาบางจำพวก (รวมถึงนักเรียนบางจำพวก)คำถามคือ ยุคสมัยนี้คนที่อ้างตัวเป็นปัญญาชนต้องแสดงพฤติกรรมจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์กระนั้นหรือ แต่ที่น่าสมเพชเวทนาที่สุดคือเมื่อคนพรรค์อย่างว่าจงใจล่วงละเมิด ดูหมิ่น เหยียดหยาม หมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างโจ่งแจ้ง แต่กลับแสดงอาการขี้ขลาดตาขาวให้สาธารณชนประจักษ์ ด้วยการอ้างว่าตนถูกคุกคามโดยสถาบันพระมหากษัตริย์ แล้วตีโพยตีพายตะโกนประจานตัวเองว่า ตนถูกกฎหมายรังแก ถูกละเมิด ถูกกระทำเพียงเพราะว่าตนเองแสดงความเห็นในที่สาธารณะ คนพรรค์อย่างนี้คือคนขี้ขลาดตาขาวโดยแท้ เพราะจงใจกระทำผิดกฎหมาย แต่กลับปลิ้นปล้อนบอกว่ากฎหมายไม่เป็นธรรมกับตน แล้วยังโกหกตัวเองอีกว่าตนถูกรังแก
เมื่อมีคำอ้างที่แสนจะไร้ตรรกะออกมาอย่างนี้ จึงเกิดคำถามว่านี่หรือคือคนที่อ้างตนว่าเป็นปัญญาชน ปัญญาชนคิดได้เพียงเท่านี้หรือ ปัญญาชนมีพฤติกรรมต่ำทรามถึงเพียงนี้หรือ หรือว่าคำว่าปัญญาชนยุคนี้เป็นเพียงคำพูดที่หาแก่นสารสาระมิได้ แต่เป็นเพียงคำลอยลมที่หาคุณค่าไม่ได้
แล้วเป็นที่น่าสมเพชเวทนาหนักยิ่งกว่าเมื่อวิญญูชนได้ยิน(ได้อ่าน) คำกล่าวของอดีตคนที่ชอบอ้างตัวเองว่าเป็นคนเดือนตุลาฯรายหนึ่งที่กำลังหากินอยู่ในสหรัฐฯ (เขาคนนี้ประกาศตัวว่าเป็นคนยุค 6 ตุลาคม 2519) เป็นนักสู้เพื่อประชาธิปไตย เป็นนักประวัติศาสตร์หัวก้าวหน้า และเป็นคนรักอิสรภาพ รักเสรีภาพเป็นนักเป็นหนาคนผู้นี้ออกมาแสดงอาการชื่นชมผู้ที่กำลังศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยและระดับมัธยมศึกษาที่ก่อเหตุชุมนุมประท้วงด้วยการแสดงอาการจงใจหมิ่นพระบรมเดชานุภาพว่า เป็นเรื่องน่าสรรเสริญที่คนรุ่นใหม่ของสังคมไทยกล้าหาญมาก เพราะกล้ากล่าวคำจาบจ้วงต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเปิดเผยในที่สาธารณะ เพราะเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่คนอย่างพวกเขาไม่กล้ากระทำอย่างเปิดเผย แต่ได้แค่เพียงแอบหลบซ่อนกระทำการจาบจ้วงมาก่อนในอดีต
คำถามจากวิญญูชนคือ ทำไมต้องจาบจ้าง ล่วงละเมิด หมิ่นประมาทหมิ่นพระบรมเดชานุภาพพระมหากษัตริย์ สถาบันพระมหากษัตริย์ทำความเดือดร้อนอะไรให้ใครหรือ หรือว่าสร้างความเสียหายใดให้ใครหรือแล้วคนที่จงใจหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไม่เคยรับรู้มาก่อนเลยหรือว่า สถาบันพระมหากษัตริย์มีคุณูปการอย่างหาที่สุดมิได้ต่อประชาชนไทยเสมอมา
หลายต่อหลายคนซึ่งแม้จะไม่ใช่กลุ่มกษัตริย์นิยม บอกว่ารับไม่ได้กับการจงใจจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยข้อเรียกร้องที่ไร้ตรรกะ 10 ข้อ จากคนที่อ้างว่าตนคือเยาวชนปลดแอก แต่มีการยอมรับได้ว่าการตั้งคำถามใดๆ ต่อใครก็ตาม เป็นสิทธิ์ที่ผู้อยู่ร่วมในสังคมย่อมสามารถทำได้ สามารถตั้งคำถามได้ แต่การตั้งคำถามต้องแสดงให้เห็นถึงการเคารพซึ่งกันและกัน ต้องไม่แสดงอากัปกิริยาหรือถ้อยคำอันบ่งบอกถึงการดูถูก ดูหมิ่น เหยียดหยาม แต่ต้องเป็นการตั้งคำถามเพื่อนำไปสู่การพัฒนาให้สิ่งนั้นๆ ดีขึ้น เจริญขึ้น ไม่ใช่ตั้งคำถามเพื่อทำลายล้าง แล้วที่สำคัญคือต้องพึงระลึกเสมอว่า การตั้งคำถามใดๆจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อจิตใจของผู้ที่ยังยึดมั่น เคารพ ศรัทธาต่อสถาบันพระมหากษัตริย์หรือไม่
อุปมาดังเช่น ในบ้านหลังหนึ่ง มีคนอยู่ร่วมกันหลายคน บ้านหลังนั้นมีศาลเจ้าหรือแท่นบูชาประจำบ้าน ซึ่งคนในบ้างยังเคารพบูชาและกราบไหว้เป็นประจำ แต่ก็มีคนในบ้านบางคนแสดงอาการไม่เคารพต่อศาลเจ้าหรือแท่นบูชานั้น โดยผู้ไม่เคารพเรียกร้องให้ทุบทำลายทิ้ง หรือใช้กิริยามารยาทแสนทรามต่อสิ่งนั้น เช่น ใช้เท้าวางบนศาลเจ้าหรือแท่นบูชา
ดังนั้นจึงทำให้เกิดคำถามว่า หากมีคนใดคนหนึ่งแสดงกิริยาอันไม่เหมาะต่อศาลเจ้าหรือแท่นบูชานั้น แล้วคนที่ยังเคารพบูชาต่อศาลเจ้าหรือแท่นบูชาจำเป็นต้องนิ่งเฉย ไม่เอ่ยปากต่อว่า หรือห้ามปรามคนที่กระทำพฤติกรรมไม่เหมาะสมกระนั้นหรือ คนที่ไม่เคารพมีสิทธิ์แสดงกิริยาอาการเช่นนั้นต่อศาลเจ้าหรือแท่นบูชาได้หรือ การอ้างว่าตนไม่เคารพ ดังนั้นจึงไม่ต้องการศาลเจ้า เป็นคำอ้างที่ผู้อื่นซึ่งให้ความเคารพจำเป็นต้องปล่อยให้คนที่ไม่เคารพสามารถกระทำการใดๆ ได้หรือ
คนที่ไม่เคารพศาลเจ้าจะอ้างว่าตนเองมีสิทธิ์ไม่เคารพ ก็เป็นเรื่องของคนที่ไม่เคารพ แต่คนที่ไม่เคารพไม่มีสิทธิ์ทุบทำลายศาลเจ้า ตราบใดก็ตามที่ยังมีคนอื่นให้ความเคารพ และยังต้องการศาลเจ้าอยู่การอ้างว่าตนเองมีสิทธิ์ทุบทำลายศาลเจ้าเป็นข้ออ้างไร้ตรรกะอย่างสิ้นเชิง เพราะถือได้ว่ากระทำการอันไม่เหมาะไม่ควรต่อสิ่งที่ผู้อื่นให้ความเคารพศรัทธา
ดังนั้นการที่คนไม่เคารพศาลเจ้าออกไปรวมตัวป่าวประกาศว่าต้องการทุบทำลายศาลเจ้าในบ้านที่ยังมีผู้ต้องการศาลเจ้า จึงไม่สามารถกระทำได้ คนที่ยังเคารพบูชาศาลเจ้ามีสิทธิ์ปกป้องศาลเจ้าไว้ เพราะเขาให้ความสำคัญกับศาลเจ้า หากห้ามปรามด้วยเหตุด้วยผลแล้วผู้ที่ต้องการทุบทำลายศาลเจ้าไม่ยอมรับฟัง ก็อาจจะนำไปสู่การใช้กำลังเพื่อปกป้องศาลเจ้าโดยคนที่ต้องการรักษาศาลเจ้าไว้ หากเกิดวิวาทบาดหมางขึ้นมา จะถือว่าคนที่จงใจทุบทำลายศาลเจ้าเป็นผู้ถูกกระทำละเมิด กระนั้นหรือ แล้วถ้ายิ่งหากผู้ที่ยังต้องการศาลเจ้า เห็นประจักษ์ชัดว่าผู้ต้องการทุบทำลาย ตระเตรียมการพร้อมเตรียมเครื่องทุบทำลายไว้พร้อมแล้ว ก็ย่อมไม่สามารถห้ามผู้ต้องการศาลเจ้าให้นิ่งดูดายได้ต่อไปส่วนผู้ที่ตั้งใจทุบทำลายศาลเจ้าจะอ้างว่า ตนเองแค่เพียงคิด แต่ยังไม่ได้ลงมือกระทำ ก็คงฟังคำอ้างไม่ขึ้น เพราะผู้อื่นประจักษ์ชัดมาโดยตลอดว่าผู้จงใจทุบทำลายคิดวางแผนเรื่องนี้มานาน มิหนำซ้ำยังขนย้ายอุปกรณ์ทุบทำลายเข้าในใกล้ตัวศาลเจ้าทุกขณะ จนถึงขั้นเข้าไปในเขตศาลเจ้าแล้ว เมื่อเป็นแบบนี้ ก็คงไม่สามารถห้ามผู้รักษาศาลเจ้าใช้ความเด็ดขาดเพื่อปกป้องศาลเจ้าได้อีกต่อไป เพราะฉะนั้น จึงไม่สามารถอ้างได้ว่าตนเองไม่ต้องการศาลเจ้า ตราบใดก็ตามที่ยังมีผู้ต้องการศาลเจ้าอยู่
ส่วนอีกประเด็นหนึ่งที่วิญญูชนเฝ้ามองพฤติกรรมพิสดารของคนกลุ่มหนึ่งที่อ้างตัวว่าเป็นผู้สำเร็จการศึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แล้วดันอุตรินำครุยวิทยฐานะของจุฬาฯ ไปสวมในสถานที่อันไม่เหมาะสม ในสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสม แถมยังสวมครุยของจุฬาฯ กับเครื่องแต่งกายที่ไม่ถูกต้องตามหลักการอนุญาตให้สวมครุยได้เช่น สวมครุยกับรองเท้าผ้าใบ รองเท้าแตะทุกชนิด สวมครุยกับเสื้อผ้าที่ไม่เหมาะกับการสวมครุย เช่น กางเกงขาสั้น เสื้อไม่มีแขน หรือเสื้อผ้าไม่สุภาพ เป็นต้น
ขอย้ำว่าเรื่องการสวมครุยวิทยฐานะของจุฬาฯ เป็นเรื่องที่มีขั้นตอนมีหลักเกณฑ์ปฏิบัติที่แน่ชัดตายตัว ไม่ใช่ใครหน้าไหนอยากจะนำครุยของจุฬาฯ ไปสวมก็สามารถทำได้ โดยเฉพาะการสวมครุยในที่สาธารณะอันไม่เหมาะสม เรื่องละเอียดอ่อนเช่นนี้เป็นสิ่งที่ปัญญาชน โดยเฉพาะบัณฑิตที่แท้จริงของจุฬาฯ ต้องสำเหนียกไว้เสมอ ไม่ใช่คิดจะนำครุยของจุฬาฯ ไปสวมแบบคนไร้สติ สิ้นคิด แล้วถ้ายิ่งมั่นใจว่าตนเองเป็นผู้ที่สำเร็จการศึกษาจากจุฬาฯ โดยแท้จริง ยิ่งต้องให้ความสำคัญกับเรื่องละเอียดอ่อนนี้ให้มาก
ดังนั้นการที่คนจำนวนหนึ่งออกมาป่าวประกาศราวกับคนเสียสติ แต่จริงๆ แล้วเป็นพวกอยากดัง ว่าจะไม่เข้าร่วมพิธีรับพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงเป็นเรื่องน่าสมเพช และแสนตลก เพราะคนที่เป็นคนจุฬาฯ ตัวจริง เขารู้ดีมานานแล้วว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไม่เคยบังคับว่าผู้สำเร็จการศึกษาจากจุฬาฯ ต้องเข้าร่วมพิธีรับพระราชทานปริญญาบัตร ดังนั้นจะรับหรือไม่รับปริญญาบัตรจึงเป็นเรื่องของความสมัครใจของแต่ละบุคคล แต่ผู้ที่มีสิทธิ์เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาฯ ได้ต้องสำเร็จการศึกษาประจำปีการศึกษานั้นๆ จริง และต้องแต่งกายทุกอย่างตามกฎระเบียบของมหาวิทยาลัย จะนำครุยของจุฬาฯไปสวมเป็นเครื่องแต่งกายในที่ไม่เหมาะสม ไม่บังควร ไม่ถูกกาลเทศะไม่ได้เป็นอันขาด
ดังนั้นเมื่อเกิดอาการราวกับคนเสียสติ แถมยังป่าวประกาศแบบคนหลงตัวลืมตนว่าจะไม่เข้าร่วมพิธีรับพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาฯ แต่กลับนำครุยวิทยฐานะของจุฬาฯ ไปสวมในบริเวณที่มีการชุมนุมประท้วงทางการเมือง แล้วมิหนำซ้ำในการชุมนุมนั้นยังมีผู้จงใจแสดงการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างโจ่งแจ้งอีกด้วย แต่ที่น่าจะมีความผิดร้ายแรงคือ ผู้ที่นำครุยของจุฬาฯ ไปสวมนั้น ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าสำเร็จการศึกษาระดับใดจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือพูดให้ชัดคือ ผู้นำครุยจุฬาฯ ไปสวมโดยผิดระเบียบในที่ชุมนุมทางการเมืองนั้น จบการศึกษาจากจุฬาฯ จริงหรือไม่ หากจบการศึกษาจริงแล้วเหตุใดต้องสวมหน้ากากปิดบังใบหน้า แล้วเหตุใดจึงสวมครุยกับเครื่องแต่งกายที่ผิดหลักเกณฑ์การสวมครุยของจุฬาฯ
ผู้ที่จงใจนำครุยของจุฬาฯ ไปสวมโดยไม่มีสิทธิ์ และยังสวมโดยผิดระเบียบวิธีปฏิบัติที่จุฬาฯ กำหนดไว้อย่างชัดเจนจึงเข้าข่ายกระทำผิดตาม พ.ร.บ. ครุยวิทยฐานะของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรื่องนี้นับได้ว่าผู้แสดงพฤติกรรมดังกล่าวเป็นผู้สิ้นคิด ไร้สติ ไม่รู้ที่เหมาะที่ควร ไม่รู้กาลเทศะ และไม่ใช่ปัญญาชน เนื่องจากหากเป็นปัญญาชนแท้จริงแล้ว ย่อมไม่กระทำการอันไม่เหมาะสมใดๆ เป็นอันขาด แต่ที่สำคัที่สุดคือ ผู้บริหารจุฬาฯ ต้องสืบค้นแล้วหาให้ได้ว่า ผู้นำครุยจุฬาฯ ไปสวมในที่ชุมนุมประท้วงทางการเมืองในวันนั้น เป็นบัณฑิตจุฬาฯ จริงหรือไม่หากเป็นบัณฑิตจุฬาฯ จริงก็ต้องลงโทษตาม พ.ร.บ. ครุยวิทยฐานะของจุฬาฯ โดยเด็ดขาด
แต่ประเด็นน่าคิดมากกว่านั้นคือ การที่ใครก็ตามที่อ้างว่าสำเร็จการศึกษาจากจุฬาฯ แล้วป่าวประกาศร้องตะโกนว่า ตนเองไม่เข้ารับปริญญาบัตร ก็เท่ากับประกาศให้สาธารณชนรับรู้ว่า คนผู้นั้นเสียจริต ไร้ปัญญา เพราะจุฬาฯ ไม่เคยบังคับว่าผู้จบการศึกษาจากจุฬาฯ ต้องเข้าพิธีรับพระราชทานปริญญาบัตร เพราะฉะนั้นจะเข้ารับปริญญาหรือไม่ จึงไม่ต้องป่าวประกาศบอกใคร เพราะบอกไปก็เท่ากับประจานความโง่เขลาของตนให้ผู้อื่นได้ทราบในวงกว้าง แต่เรื่องนี้ทำให้เห็นชัดอีกด้วยว่า จุฬาฯ สอนได้แค่วิชาการความรู้ แต่จุฬาฯ ไม่สามารถเปลี่ยนคนเลวโดยกำเนิด หรือโดยกำพืดให้เป็นคนดีได้ เพราะความดีเป็นสิ่งที่ต้องปลูกฝังมาจากบ้านและจากครอบครัว หากคนชั่วคนเลวเข้าไปเรียนในจุฬาฯ ได้ ก็ยังคงเป็นคนเลว คนชั่วตลอดไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี