ในพลันที่มีข่าวการแพร่ระบาดของโคขวิด ประเทศจีนได้ประกาศต่อประชาชาติจีนทั้งปวงว่านี่เป็นสงครามชีวภาพ และประกาศให้ชาวจีนทั่วโลกเข้าสู่สงครามนี้อย่างพร้อมเพรียงกัน
ในระยะแรกเริ่มคือในเดือนสิงหาคม 2562 ถึงปลายเดือนธันวาคม 2562 มีข่าวคราวสรุปได้ชัดเจนว่ามีการประมาณการว่าจะมีผู้ติดเชื้อโคขวิดถึง 650 ล้านคนและจะมีผู้เสียชีวิตถึง 250 ล้านคนภายใน 1 ปี
จึงมีการเตรียมการผลิตวัคซีนเพื่อจำหน่ายให้แก่ชาวโลก 7,000 ล้านคน รวมทั้งการฝังชิพเพื่อติดตามผลการฉีดวัคซีนให้แก่ประชากรโลกด้วย แต่ในที่สุดก็ไม่สามารถดำเนินการให้ประสบความสำเร็จดังเป้าหมาย เพราะศาลฎีกาของประเทศนั้นยกฟ้องโดยวินิจฉัยว่าไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าวัคซีนนั้นสามารถป้องกันโคขวิดได้ และชิพที่ฝังก็ไม่มีหลักประกันว่าจะปลอดภัย
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น เพราะแม้ว่าจีนจะเป็นผู้ค้นพบสูตรยาเพื่อรักษาโคขวิดหรือที่เรียกว่าค็อกเทล แต่การศึกษาวิจัยและผลิตยาต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 ปีแต่ตัวยานี้กลับเป็นตัวยาที่ประเทศไทยใช้อยู่ก่อนแล้วร่วม 20 ปี ในการรักษาโรคเอดส์ และแพทย์ไทยก็เป็นคณะแพทย์ชุดแรกที่สามารถใช้ยาค็อกเทลรักษาโคขวิดให้หายได้เป็นรายแรกของโลก
จากนั้นก็สามารถคิดค้นและนำแบบแผนการใช้พลาสมาของผู้ที่หายป่วยไปฉีดรักษาให้ผู้ที่ป่วย และสามารถรักษาให้หายได้ในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง ซึ่งแบบแผนนี้ได้รับการยอมรับและใช้กันทั่วโลกแล้ว
ยกเว้นแต่ประเทศไทยที่เพียงแค่อนุญาตให้ใช้ยาค็อกเทลตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับลงวันที่29 มีนาคม 2563 ลำดับที่สอง แต่ยังคงไม่อนุญาตอย่างเป็นทางการให้ใช้พลาสมาในการรักษาเหมือนกับชาวโลก แม้ว่าสภากาชาดไทยจะออกหน้ารณรงค์ในเรื่องนี้แล้วก็ตาม
ในขณะที่แผนการผลิตวัคซีนของบางประเทศชะงักงัน กลับปรากฏว่าจีนและรัสเซียสามารถผลิตวัคซีนได้สำเร็จก่อน โดยของรัสเซียนั้นจะสามารถวางจำหน่ายในตลาดได้ในเดือนนี้เป็นต้นไป ส่วนของจีนนั้นแม้ผลิตได้ก่อนแต่ก็ต้องใช้กับประชากรจีน 1,400 ล้านคนก่อน จึงจะสามารถวางจำหน่ายได้ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ โดยประธานสี จิ้น ผิง ได้ประกาศว่าจะส่งวัคซีนนี้ช่วยเหลือกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง คือ ไทย เมียนมา ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ก่อน และถือเอาความสำเร็จนี้เป็นสมบัติของมนุษยชาติ และจะจำหน่ายในราคาทุน
ถ้าจะกล่าวอย่างไม่เกรงใจก็กล่าวได้ว่าจีนและรัสเซียได้ทำลายสงครามชีวภาพที่ถูกเสกสร้างขึ้นอย่างเจ็บแสบที่สุด และก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้คิดทำสงครามชีวภาพอย่างรุนแรงที่สุดด้วย
บัดนี้ย่างเข้าเดือนกันยายน 2563 แล้ว โลกได้ผ่านการระบาดของโคขวิดมาแล้ว 8 เดือนเศษ แต่ปรากฏว่าความร้ายกาจของโคขวิดไม่สมราคาคุย เพราะถึงปัจจุบันนี้ยังมีผู้เชื้อไม่ถึง 30 ล้านคน และผู้เสียชีวิตยังไม่ถึงล้านคน
ยังห่างไกลจากการคาดหมายเดิมที่ภายในปี 2563จะมีผู้ป่วยถึง 650 ล้านคน และเสียชีวิต 250 ล้านคนมากมายนัก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโคขวิดนั้นไม่ได้ร้ายกาจตามราคาคุย และหากจะเทียบกับไข้หวัดใหญ่ก็ยังไม่แน่ว่าใครจะเหนือกว่าใคร เพราะแต่ละปีก็มีผู้ตายด้วยไข้หวัดใหญ่จำนวนมากหลายแสนคนอยู่แล้ว
8 เดือนผ่านไป บุคลากรในวงการสาธารณสุขของโลกและชาวโลกก็ได้รู้จักโคขวิดมากขึ้น จึงพบว่าสาเหตุของการตายนั้นเกือบทั้งหมดเกิดจากการไม่รักษาอย่างทันท่วงที โรงพยาบาลไม่พอ บุคลากรทางการแพทย์ไม่พอ ยารักษาโรคไม่พอ เวชภัณฑ์ไม่พอ ซึ่งถ้าสิ่งเหล่านี้มีพอก็จะไม่มีการเสียชีวิต
เพราะผู้เสียชีวิตจากโคขวิดนั้นจะเสียชีวิตในสองห้วงเวลาเท่านั้น คือในระยะ 3 วันแรก และหลังจากติดเชื้อเป็นเวลานาน คือระหว่างวันที่ 50-55
ที่เสียชีวิตในระยะ 3 วันแรก จะเกิดกับผู้มีโรคประจำตัวเรื้อรัง ทำให้เกิดปฏิกิริยากับเลือด และทำให้เสียชีวิต ซึ่งมีวิธีแก้ชะงัดก็คือแค่ดื่มน้ำให้มากก็จะไม่เป็นอันตราย
และถ้าเมื่อได้รับการรักษาก็จะหายได้ในเวลา 2-10 วัน ไม่ต้องล่วงพ้นไปถึงวันที่ 50
ตัวอย่างประเทศไทย ด้วยพระบารมีปกเกล้าที่พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชนิยมสร้างโรงพยาบาลไว้จำนวนมาก ส่งเสริมบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความสามารถเป็นจำนวนมาก เวชภัณฑ์ก็มากพอ
ดังนั้นแม้ว่าประเทศไทยจะเผชิญกับโคขวิดพร้อมๆ กับประเทศจีน แต่ถึงวันนี้ก็มีผู้ป่วยสูงสุดแค่ระดับ 3,000 คน และเกือบครึ่งก็เป็นผู้ป่วยที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ และมีผู้เสียชีวิตเพียง 58 คน
เป็นการเสียชีวิตในระยะเริ่มต้น ซึ่งยังไม่รู้วิธีการรักษาและไม่รู้ห้วงเวลาการเสียชีวิต ดังนั้น หลังจากมีผู้เสียชีวิต 58 คนแล้ว ระยะเวลาหลายเดือนผ่านไปประเทศไทยก็ไม่มีผู้เสียชีวิตเพราะโคขวิดอีกเลย
และที่สำคัญ แผ่นดินประเทศไทยไม่เอื้ออำนวยต่อการแพร่ระบาดของโคขวิด ทั้งคนไทยก็มีภูมิต้านทานที่สูงมากที่สุด
ดังนั้นจึงควรตั้งความเข้าใจกันให้ถูกต้องว่าโคขวิดนั้นไม่ใช่ยักษ์มารที่ร้ายกาจดังคำโฆษณาที่โหมกระหน่ำกันจนเป็นบ้าเป็นหลัง แล้วฉวยโอกาสในการตื่นตระหนกตกใจทำมาหากินกับแผ่นดินและคนไทย จนถึงขั้นไม่รู้จักพอกันอยู่ในทุกวันนี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี