ภาพที่ปรากฏในตอนเช้าของวันอาทิตย์ที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา ของเหล่าแกนนำผู้กล้าที่ยืนพุงปลิ้นรายล้อม “หมุดคณะราษฎร 2563” แล้วทำพิธีฝังหมุดกันนั้น คือ การล่มสลายของ “การนำ” อย่างแท้จริง
สะท้อนความสับสนระหว่างเอากับไม่เอาอดีต แม้อาจไม่ใช่ตัวคนเหล่านี้ แต่ก็เป็นสัญลักษณ์แห่งการเคลื่อนไหวของคนรุ่นนี้ ที่ปฏิเสธแทบจะทุกอย่างที่เป็น “ขนบ”ล้าหลัง แต่กลับยืนและนั่งล้อมวงพนมมือทำ “พิธีกรรม” รอบ“หมุดสมมุติ” พร้อมพราหมณ์สมมติ คาถาสมมติ และคำสาปแช่งว่า ถ้าใครถอนให้ “เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ” ที่ทำเอา “คณะตลกอาชีพ” ทั้งหลาย ร้อนๆ หนาวๆ ไปตามๆ กัน เพราะแกนนำชุดนี้ “ตลกกว่า” หากรวมตัวกันรับงานตลกเมื่อไหร่ รุ่นเก่าตกงานกันเป็นทิวแถวแน่
ในที่สุด จุดที่แกนนำม็อบลากพามาจนถึง และเป็นการ “เฉลย” ความต้องการทั้งหมด ก็คือ การไม่เคารพสถาบันพระมหากษัตริย์ ชนิดที่ทั้งความเป็น “สถาบัน” และ “ตัวบุคคล”
ตลอดทั้งคืนจนถึงสายๆ ของอีกวัน การก้าวล่วงถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 สมเด็จนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และในหลวงรัชกาลปัจจุบัน เกิดขึ้นอย่างเอิกเกริกจากปากของแกนนำแทบครบทุกคน
ตลอดระยะที่ผ่านมา การก้าวล่วงรัชกาลปัจจุบันนั้น จะเห็นว่าสังคมยัง “อดทน” เพื่อดู “ประเด็นที่แท้จริง” ว่าต้องการอะไรกันแน่ ครั้นก้าวล่วงไปถึงรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระพันปีหลวงนั้น เป็นจุด “ขาดกัน” ของคนจำนวนไม่น้อย เนื่องจากทั้งสองพระองค์ได้พิสูจน์จนสิ้นสงสัย ถึงน้ำพระราชหฤทัยที่ทรงมีต่ออาณาประชาราษฎร์ และการทรงงานตลอดพระชนม์ชีพ เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตของประชาชน มีพระบารมีสูงส่ง ที่จะดึงเอาผู้คนและทรัพยากรในชั้น “มั่งคั่ง” มากระจายเป็นโอกาสของประชาชนต่างชนชั้น ซึ่งนั่น คือ “ต้นทุนสำคัญ” ของการมี “สถาบันพระมหากษัตริย์”ที่หลายๆ ประเทศไม่มี
ส่วนรัชกาลปัจจุบันนั้น เป็นธรรมดาของช่วงการเปลี่ยนผ่านรัชกาล ที่ต้องใช้เวลาพิสูจน์พระบารมีและพระมหากรุณาธิคุณ เหมือนช่วงเปลี่ยนผ่านทุกๆ รัชกาลในอดีต มิใช่เรื่องแปลกแต่ประการใด ที่จะมีทั้งผู้ศรัทธาจนหมดใจ ผู้เฝ้ามองอย่างเคารพ และผู้ที่ไม่เคารพและก้าวล่วง ซึ่งอย่าลืมว่า ในฐานะ “ประมุขแห่งรัฐ”มีกฎหมายคุ้มครองอยู่ที่จะ “ละเมิดมิได้” เฉกเช่นประมุขแห่งรัฐของนานาอารยประเทศ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะกษัตริย์ นายกรัฐมนตรี หรือประธานาธิบดี
ความเป็นปัจเจกชนกับความเป็นสถาบัน ต้องการการจำแนกที่ประณีต และแสดงออกอย่างถูกต้อง มิใช่ในสภาพอันธพาลข้างถนน ที่คิดจะลบหลู่ก้าวร้าว ด้วยถ้อยคำใดก็ได้ ตามอำเภอใจ
ในที่สุด แกนนำม็อบชุดนี้ ก็ยกเท้าก้าวข้ามข้อเรียกร้องเดิม คือ ยุบสภา แก้รัฐธรรมนูญ และหยุดคุกคามประชาชน ไปแล้ว ทั้งๆ ที่เป็นข้อเรียกร้องที่สังคมตอบรับและรอดูพัฒนาการของเหตุการณ์ ว่าฝั่งรัฐบาล ฝั่งผู้มีอำนาจและฝั่งแกนนำ จะ “เคลื่อน” ทั้งกระบวนการและสถานการณ์ไปในทิศทางใด
นั่นเป็นเหตุให้ข้อเขียนของ “วรวรรณ ธาราภูมิ”ได้รับการส่งต่ออย่างมากมาย
เธอเขียนว่า...
“ความคาดหวัง” กับ “ความจริง” เรื่องม็อบ 19 กันยายน 2563
ก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าคาดหวังว่าจะได้รับฟังแนวคิดที่มีประโยชน์และอาจจะแตกต่าง จากคนรุ่นหลาน อยากรู้จริงๆ ว่าเขาต้องการอะไรถึงได้ก่อม็อบ และคาดหวังว่าแนวคิดเหล่านั้นจะนำพาไปสู่การปรับปรุงแนวปฏิบัติของชนชั้นปกครองได้
ข้าพเจ้าคาดหวังว่าจะได้เห็นนักศึกษาขึ้นเวที แสดงวิสัยทัศน์ของตนต่ออนาคตของประเทศซึ่งต่อไปก็จะอยู่ในมือของพวกเขา เพื่อให้คนรุ่นเราไม่ว่ารัฐบาล / สส. ทุกพรรค / สว. / นักธุรกิจทั้งหลาย / รวมไปถึงพ่อแม่ครูบาอาจารย์ จะได้รับรู้ว่าลูกหลานกำลังมีปัญหาที่ตรงไหน และเขามองพวกเราอย่างไร
ข้าพเจ้าคาดหวังว่าจะมีหลานๆ สักคนขึ้นเวทีแล้วถามถึงแนวทางของรัฐในการรับมือกับอนาคตที่ตนเองจะไม่มีงานทำเพราะเทคโนโลยีที่มาทดแทนได้ ... เพื่อให้รัฐบาลนำไปเป็นโจทย์ที่ต้องแก้ไข ป้องกันล่วงหน้า อย่างจริงจัง
ข้าพเจ้าคาดหวังว่าจะมีใครที่ตอกย้ำถึงความไม่เสมอภาคในกระบวนการยุติธรรม และความอ่อนแอขององค์กรอิสระที่น่าจะทำตัวไม่อิสระแล้วในหลายๆ กรณี
ข้าพเจ้าคาดหวังว่าหลานๆ จะเสนอแนวคิดในการเดินหน้าอนาคตไทยอย่างสร้างสรรค์ ในมุมมองของเขา
ข้าพเจ้าคาดหวังว่าจะมีคนพูดเรื่องข้อดีข้อเสียของการมี สว. แบบปัจจุบัน รวมไปถึงการนับคะแนนเลือกตั้งที่เอามาหารด้วยสูตรประหลาดที่ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ
ข้าพเจ้าคาดหวังว่าจะมีนักศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์สักคน ที่สามารถชี้แนวทางใหม่ที่ปฏิบัติได้จริงในเรื่องทุนนิยม การผูกขาด และความเหลื่อมล้ำ
ข้าพเจ้าคิดเรื่อยเปื่อยไปจนถึงว่าจะมีนักเรียน นักศึกษา สักคน มาพูดถึงภัยอันตรายที่วัยรุ่นต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการคุกคามทางเพศ เว็บการพนัน และยาเสพติด
แล้วข้าพเจ้าก็พบว่าความจริงที่ได้จากม็อบ ว่ามันคือความตั้งใจในการโจมตี บั่นทอนคุณค่าของพระมหากษัตริย์
มีเท่านี้จริงๆ
มีแม้กระทั่งจะให้แก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้ในหลวงไปขึ้นศาลเมื่อมีการฟ้องร้อง ฯลฯ รวมไปถึงกระทบกระทั่งทางอ้อมต่อพ่อหลวง ร.9 กรณีสวรรคตของ ร.8 ฯลฯ แล้วก็จบด้วยคำขู่ตามภาพแรกที่เป็นตอนท้ายคำปราศรัยของคุณทนายอานนท์
ถ้านี่คือเป้าหมายของม็อบ ข้าพเจ้าก็ไม่หวังอะไรจากลูกหลานที่ชูสามนิ้วอีกแล้ว เนื่องข้าพเจ้าไม่เห็นคุณค่าของการจัดม็อบตามที่คาดหวังเลย รวมถึงไม่เห็นประโยชน์ของการจะสนับสนุน เพราะการปักหมุดคณะราษฎร์ การย่ำยีสถาบันสูงสุดในแบบที่ทำ มันมิได้ทำให้คนกินดีอยู่ดี มิได้ลดความเหลื่อมล้ำ มิได้ทำให้เกิดความสามัคคีในคนไทยด้วยกันเลยสักนิด แถมยังไปช่วยผลักดันคนที่กำลังหงุดหงิดกับรัฐบาล ทำให้เขาจำต้องเลือกข้างนายกฯ อีกครั้ง เพราะทนรับฟังพวกท่านก้าวร้าวต่อสถาบันสูงสุดไม่ไหว
ก็แปลกใจที่คนรุ่นใหม่ยังฝังใจกับพิธีกรรม ถึงขั้นตอกหมุดคณะราษฎร์อีกครั้ง...ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะทำอะไรไร้สาระแบบนี้
สรุปคือผิดหวังมาก
ใครจะโกรธเกลียดที่ข้าพเจ้าคิดเห็นอย่างนี้ก็ตามใจท่าน แต่ก่อนคิด ก่อนออกความเห็น ข้าพเจ้าได้รับฟัง ได้ศึกษาข้อมูลจริงด้วยตนเอง แล้วคิดอย่างไร ก็แสดงออกมาตรงๆ ตามนี้
ข้าพเจ้าก็คงต้องแสวงหาแนวทาง แนวร่วม ที่คิดแบบเดียวกัน เพื่อทำให้เราพ้นจากวังวนอุบาทว์ทั้งหลาย ต่อไปเพราะไม่สามารถฝากอนาคตประเทศไว้กับพวกท่านได้ตามที่เคยคิดหวัง / วรวรรณ ธาราภูมิ 20 กันยายน 2563
ขอชื่นชมคุณวรวรรณว่ามีความกล้าหาญและมิใช่ “ผู้ใหญ่ไดโนเสาร์” เข้าไปดูในเพจของเธอมาแล้ว มีคนเข้าไปจิกด่าว่า “อีสลิ่ม” มากมาย ซึ่งเป็นเรื่องน่าสังเวชใจที่คนเหล่านั้นไม่รู้จัก “ใช้ประโยชน์” จากผู้ใหญ่ใจกว้างคนนี้ ที่ไม่เคยตำหนิแถมคาดหวังการก่อตัวของคนรุ่นใหม่ ว่าจะช่วย “เรียกร้อง” แทนคนรุ่นเดียวกัน และ “เตือน” คนอีกรุ่น ว่ายังไม่ได้ “ให้” อะไรแก่คนรุ่นหลัง กลับมีสติปัญญาเพียงแค่ด่าโง่ๆ ว่า “อีสลิ่ม” ซึ่งไม่สร้างความงอกงามอันใดเลย
ความก้าวร้าวต่อผู้ใหญ่ในสังคม กับความก้าวล่วงต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ คือ จุดวิบัติของแกนนำชุดนี้ และแนวร่วมจำนวนหนึ่ง ซึ่งผมเชื่อว่าไม่ใช่ส่วนใหญ่
คนรุ่นนี้โชคดีกว่าคนรุ่นก่อนๆ ที่ได้รับ “โอกาสทางการศึกษา” อย่างเต็มที่ มีเทคโนโลยีพาโลกมาเชื่อมกันอย่างแนบสนิท อยากรู้อะไร รู้ได้ในเวลาสั้นๆ มีพื้นฐานภาษาต่างประเทศ พอที่จะตักตวงความรู้ข้ามพรมแดน “ภาษา” ได้ ไม่เหมือนคนรุ่นก่อน ดังนั้น เขาควรเป็นคนรุ่น“ปัญญาชน” ที่แท้จริง ในการนำเสนอ เรียกร้อง และวิจารณ์บ้านเมืองได้โดยไม่ต้อง “หยาบคายและก้าวร้าว” เห็นปัญหา สะท้อนปัญหา และเสนอทางออกของปัญหาได้อย่างแยบคาย ปลุกและเตือน “ผู้ใหญ่” ให้รู้ว่า ในสังคมเดียวกัน เราจะ “ประสานพลังปัญญา + ประสบการณ์ + ความต้องการยุคใหม่” เข้าด้วยกันได้อย่างไร เพราะการรวมพลังที่ว่านี้ หากเกิดขึ้นได้ ก็จะนำพาความเปลี่ยนแปลงที่ดีมาสู่บ้านเมืองของเรา โดยที่คนทุกเพศทุกวัยล้วนจะได้รับประโยชน์ร่วมกัน
เช่นเดียวกันกับความน่าสะทกสะท้อนใจในอีกด้านหนึ่ง คือ ผู้ใหญ่ที่ก็ด่าเด็กอย่างหยาบๆ คายๆ ก้าวร้าว ใจแคบ
ไม่แพ้กัน ซึ่งมีให้เห็นมากมาย ข้าพเจ้าจึงดีใจ ที่อย่างน้อยมีคุณวรวรรณคนหนึ่ง ที่ไม่เป็น “ผู้ใหญ่น่ารังเกียจ” จำพวกนั้น
ข้าพเจ้าพูดอยู่เสมอว่า การมีความหลากหลายในสังคมนั้นดี ถ้ารู้จักเอามา “ผสม” เอามา “เติมเต็ม” ให้แก่กันและกัน การเอาชนะคะคานกัน ไม่มีวันจะชนะ มีแต่แพ้กับแพ้
การเมืองพาคนมาสู่ความโกรธ เกลียด ชิงชัง และก้าวร้าวต่อกันมากขึ้นทุกวัน นั่นแหละ คือ “เชื้อแห่งความฉิบหาย” ของจริง ของประเทศ ถึงวันนั้น ต่อให้บ้านเมืองมีประธานาธิบดีมาแทนที่พระมหากษัตริย์ ก็ยากที่จะรองรับด้วย “ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” ที่จะทำให้การขับเคลื่อนประเทศราบรื่น ดังนั้น หยุด “ทำหินแตก” กันเสียทีเถอะ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องยอมรับ “จุดอ่อน” ของตัวเอง เรื่องการทำกติกาที่ไม่เป็นธรรม รองรับการเข้าสู่อำนาจรอบใหม่ แล้วใช้เวที “แก้รัฐธรรมนูญ” ที่กำลังจะเกิดขึ้น แก้ไขจุดอ่อนที่ทำให้ถูกโจมตีนี้เสีย เลือกบริวารให้งามสง่า ทำงานด้วยสติปัญญา นำพาผู้คนเข้าสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกันให้ได้มากที่สุด
สว.หยุดเห็นแก่ตัว เดินออกมา 84 คน ปลดล็อกอำนาจเลือกนายกฯ ของตนเองซะ ประชาชนจะแซ่ซ้องสรรเสริญ ข้อแม้ของฝ่ายต้านจะหายไป ขืนม็อบต่อก็ถือเป็นความดื้อด้านที่สังคมจะปฏิเสธเอง จากนั้นรวมพลัง “จิตอาสา” สวมเสื้อ หมวก ผ้าพันคอ ออกมาปรับปรุงบ้านเมืองของเรา อย่างพร้อมเพรียงกันทั้งแผ่นดิน เสริมส่งบารมีแก่องค์พระประมุขไปด้วยกัน โดยที่พระองค์ท่านจะทรงเป็นหลักชัยในเรื่องนี้ด้วยหรือไม่ ก็ให้เป็น “พระราชอัธยาศัย” และพระบรมราชวินิจฉัยของท่านเทอญ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี