ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ “ยากแก่การควบคุม” เสียแล้ว สำหรับแกนนำ “คณะราษฎร” 2563 ทันทีที่กระโดดข้ามข้อเรียกร้องที่ “สังคมรับได้” ไปสู่ข้อเรียกร้องที่ “ประกาศเป็นศัตรูกับคนทั้งแผ่นดิน”
นั่นคือการประกาศ “ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์”
ด้วยท่าทีที่ “ไม่งาม” นัก ทั้งกิริยา วาจา และการใช้สื่อออนไลน์ “แซะ”
จตุพร พรหมพันธุ์ รุ่นพี่ที่ผ่านการเปิดประเด็น “ไพร่-อำมาตย์” มาก่อน เข้าคุกมาแล้ว และรอการเข้าคุกอีกในคดีบุกบ้านสี่เสาเทเวศร์ ย่อมอ่านเกมออก และบอกเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าผ่านรายการ “พีซ ทอล์ค”
คำเตือนล่าสุดของเขา กล่าวว่า การชุมนุม 14 ต.ค.นั้นถ้าลดข้อเรียกร้องจาก 3 ข้อ เหลือเพียงข้อเดียว ตนเชื่อว่ากระแสประชาชนจะออกมาร่วมชุมนุมถล่มทลาย ท่วมท้นถนนราชดำเนิน ส่วนข้อเรียกร้องให้เปิดสภาสมัยวิสามัญไม่มีความหมาย เพราะอีกเกือบ 20 วันก็เปิดสมัยสามัญในวันที่ 1 พ.ย.แล้ว
นายจตุพรย้ำว่า การกำหนดวันขับเคลื่อนนั้นต้องเลือกเอาวันที่มีความพร้อมมากที่สุด หรือลดอุปสรรคการเข้าร่วมชุมนุมของประชาชนให้เหลือน้อยที่สุด ซึ่งใครจะทำตามหรือไม่ก็ตาม แต่ข้อเสนอเป็นวิทยาศาสตร์สังคมรอวันต้องพิสูจน์กัน
“ผมเสนอวันนี้ คือ ให้เหลือข้อเรียกร้องเดียว ให้พล.อ.ประยุทธ์ ออกไป หรือลาออก หรือยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน บรรยากาศบ้านเมืองจะคลี่คลายลง และแต่ละฝ่ายไม่มีความอึดอัดใจ ถึงที่สุดเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ต้องเสียสละบ้าง ที่พูดเรื่องนี้ เพราะผมห่วงใยในสถานการณ์เมื่อมีประเด็นสร้างความวิตกกังวลจากกระแสก่อนการขับเคลื่อน 14 ตุลา ไม่อยู่ในสถานะสูงสุดที่ประชาชนจะให้ความร่วมมือ” นายจตุพร กล่าว
อีกอย่าง ในทางการเมืองเปลี่ยนวันชุมนุมได้ตามสถานการณ์ เพราะไม่ได้หมายความว่าเปลี่ยนจุดยืนอุดมการณ์ เนื่องจากในวันที่ 13 ต.ค. คนทั้งแผ่นดิน
จะร่วมระลึกถึงและไว้อาลัยต่อวันสวรรคตของ ร.9 ภูมิรัฐศาสตร์แบบนี้ จะทำให้การเคลื่อนไหวทางการเมืองในวันที่ 14 ต.ค. เป็นไปด้วยความยากลำบาก
“วันรุ่งขึ้น (14 ตุลา) เมื่อมีขบวนเสด็จฯไปพระบรมมหาราชวัง แน่นอนที่สุดประชาชนสองข้างทางจะถวายการต้อนรับ เปล่งเสียงทรงพระเจริญ อีกอย่างการพยายามอธิบายว่า ผู้ชุมนุมจะเปิดเส้นทางเสด็จฯ แต่ชู 3 นิ้วนั้น ผมว่าภูมิรัฐศาสตร์แบบนี้เป็นปัญหาแล้ว เพราะคนจะเต็มถนนราชดำเนินเพื่อมาเฝ้าฯรับเสด็จ”
นายจตุพรกล่าวว่า สิ่งที่ตนเสนอนั้น คือ ลดข้อเรียกร้องเหลือข้อเดียวไล่ พล.อ.ประยุทธ์ แล้วเปลี่ยนวันชุมนุมใหม่ แม้ผู้จัดชุมนุมไม่ฟังหรือไม่เอาตามข้อเสนอก็ตาม แต่อีก 2 วันจะได้พิสูจน์ความจริงในความห่วงใยของตนกันแล้ว
ถึงที่สุด ตนเชื่อว่า ถ้ามีข้อเรียกร้องข้อเดียวก็จะไปกันได้ รวมทั้งพวกอยู่ข้างเวทีสามารถร่วมขบวนบนเวทีได้สะดวกใจ อีกอย่างสภาพการณ์ในปัจจุบันประชาชนเอื้อมระอากับเผด็จการ ภาวะเศรษฐกิจบ้านเมืองเต็มไปด้วยความย่ำแย่ เสียงให้บ้านเมืองเปลี่ยนแปลงจึงดังขึ้นไปทั่วประเทศ
ดังนั้น การเคลื่อนไหวครั้งนี้มีความสำคัญ เมื่อยังเสนอข้อที่สามเรียกร้องปฏิรูปสถาบัน จะพาให้ข้อที่หนึ่งและสองต้องล้มระเนระนาดกันไป แล้ว พล.อ.ประยุทธ์
ก็ลอยตัว อยู่กันอย่างสบายไป โดยข้อเรียกร้องไม่ระคายผิวแต่ประชาชนกลับเสียโอกาส นอกจากนี้ ประเทศไทยยังต้องเจอกับภัยคุกคามจากภายนอกประเทศที่จ้องกดดันอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ตนได้ติดตามการข่าว เฝ้าดูสถานการณ์ด้วยความเป็นห่วง และยังเรียกร้องเหมือนเดิมว่า ทุกอย่างต้องยึดแนวทางสันติวิธีเท่านั้น คือ ในชาติบ้านเมืองต้องไม่ใช้ความรุนแรง เพราะประเทศจะเกิดวิกฤติใหม่อีกรอบไม่ได้
วันนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือความเชื่อมั่น โดยเฉพาะถ้ามีความเชื่อมั่นรัฐบาลด้วยแล้ว คนในประเทศก็กล้าจะลงทุน จะเกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ แต่สภาพรัฐบาลขณะนี้ไม่กล้ายอมรับการถังแตก ทั้งที่สภาพเลยอาการถังแตกย่อยยับไปแล้ว แล้วปีหน้าจะอย่างไรกันต่อ
“เหตุนี้คนหนุ่มสาวจึงต้องคิดอ่านกัน ถ้าฟังผมจะรู้ว่าผมมีเจตนาดี หากต้องการจัดการรัฐบาลก็ต้องเอาข้อเดียว คือ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออก และเลื่อนวันชุมนุม
ออกไป ให้เกิดความสบายใจทั้งหมด ไม่ถูกกล่าวหาใดๆ ได้พสกนิกรชาวไทยเข้าใจ เมื่อเป็นอย่างนี้แฟร์ทุกฝ่าย” นายจตุพรกล่าว
แต่การณ์หาเป็นเช่นนั้นไม่
13 ตุลาคม 2563 อานนท์ นำภา และแกนนำ เริ่มนำมวลชนเข้ากางเต็นท์เตรียมค้างคืน รอบพื้นที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ใน “เส้นทางเสด็จฯ” ที่อานนท์สนุกกับประเด็นนี้ผ่านโซเชียลมีเดียมาหลายวันแล้ว
และแล้ว ตำรวจก็เข้าเจรจา ขอคืนพื้นที่ แต่ไม่เป็นผลสุดท้ายจึงตัดสินใจรวบแกนนำและผู้ขัดขวาง อาทิ นายจตุภัทร์บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน และแอมมี่ The BottomBlues ที่มีหมายเรียกขึ้นรถผู้ต้องขัง ก่อนทำการรื้อเต็นท์ และมีคนอื่นๆ อีก รวม 19 คน
จตุพร ได้เตือนแล้ว ว่า
1.เลื่อนวันชุมนุมซะ เพราะ 14 ตุลาคม กระแส “ปกป้องสถาบัน” สูง
2.วางเรื่องสถาบันลงซะ เล่นประเด็นเดียว คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
แกนนำอายุน้อยเหล่านี้ กำลัง “คึกคะนอง” อันเป็นผลจากการลุ่มหลง “โซเชียลมีเดีย” + “ได้เป็นข่าวทุกวัน” +มีคนดังหนุนหลัง
พวกเขาจึงประเมินสถานการณ์ผิด คิดว่าโลกแห่งความจริง จะระดมคนง่ายดายเหมือนในโซเชียลมีเดีย
กำลังนึกว่า ตัวเองกล้าต่อกรกับ “สถาบัน” ที่ตลอดกาลนานมา คนไทย “กลัวที่จะพูด” เรื่องนี้
ทั้งหมดคือ ความหลง
หลงคิด หลงผิด หลงทาง และหลงตัวเอง
ย้อนดูเหตุการณ์สำคัญ สองสัปดาห์ที่ผ่านมาสิครับ
1) ตัวแทนตระกูลชินวัตร กระจายภาพข่าวการสวมชุดเหลืองเข้าเฝ้าฯ อย่างเอิกเกริกมาก
2) พรรคเพื่อไทยปรับโคงสร้างกรรมการบริหารใหม่ลดสาย “เกาะกระแสเด็ก” ลง ท่าทีหนุนหลังจึงอ่อนลง ไม่ออกตัวมาก ไม่ร้องร่วมเพลงเดียวกับเด็กๆ แล้ว ขยับทางการเมืองอย่างระมัดระวัง
3) ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กำลังสนุกกับเกมชิงชัย “การเลือกตั้งท้องถิ่น” ทำแค่ “พูด” เรื่องสถาบัน คนรุ่นใหม่ ความกล้าหาญ และภารกิจต้องสำเร็จ แต่ตัวเองก็เลือกภารกิจอื่นมาก่อน
4) ปิยบุตร แสงกนกกุล นั้น พึ่งพาอะไรไม่ได้อยู่แล้ว คนรุ่นใหม่ในพรรคอนาคตใหม่ล้วนรู้ดี ว่ามีแต่ “พาไปซวย” อยากพูดอะไรให้เขาพูดไป สิ่งเดียวที่เขาจะทำคือ พูด!!
5) แกนนำ นปช. ระดับท้องถิ่นเดิม ระดมพลคนเสื้อแดงออกมาสวมเสื้อเหลือง ประกาศปิดหมู่บ้านเสื้อแดง ประกาศชัดเจนว่ามีความจงรักภักดี เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์
6) ทั้งหมดนี้ คือ สัญญาณ “ความโดดเดี่ยว” ที่แกนนำเยาวชน “อ่านไม่ออก” เพราะ “หลงกระแสโซเชียลฯ” คิดว่าคนจะมาเยอะ กระแสดี เรากำลังท้าทายการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุด ภารกิจ 2475 ต้องได้รับการสานต่อ บทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ต้องถูกจำกัด
7) เด็กพวกนี้มองภูมิรัฐศาสตร์ผิด มองแต่ตัวเองหมกมุ่นกับความต้องการของตัวเอง ก้าวร้าว และหยาบคายสร้างแนวต้านเก่งกว่าสร้างแนวร่วม
8) ถ้าเขาเลือกจู่โจมไปที่ พล.อ.ประยุทธ์ เหมือนตอน “วิ่งไล่ลุง” ตอนนั้นเล่นเอารัฐบาลเป๋ไปเหมือนกัน ครั้นมาเล่นเรื่อง “กษัตริย์” พล.อ.ประยุทธ์ และรัฐบาล ยิ้มหวานเลย เพราะเท่ากับว่า ผู้ชุมนุมเลือกที่จะเป็นศัตรูกับ “คนไทยทั้งประเทศ” แทนการเป็น “คู่ขัดแย้งกับ พล.อ.ประยุทธ์” ซึ่งมีประเด็นสำคัญให้เล่นได้ คือ การเข้าสู่อำนาจอย่างมีเล่ห์กล สร้างกติกาการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ไม่เป็นประชาธิปไตย ไร้ประสิทธิภาพในการบริหารประเทศ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ เป็นต้น
9) เมื่อเปิดประเด็นสถาบันพระมหากษัตริย์ แถมจะตั้งเวทีหลังวันคล้ายวันสวรรคต รัชกาลที่ 9 ใน “เส้นทางเสด็จฯ” เราจึงเห็น...
• กลุ่มไทยภักดี นัดสวมเสื้อเหลืองเฝ้าฯรับเสด็จ หน้าวัดพระแก้ว
• อดีตหลวงปู่พุทธะอิสระ ประกาศชวนคนสวมเสื้อเหลืองมาเฝ้าฯรับเสด็จ ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า
• สุเทพ เทือกสุบรรณ นัดสวมเสื้อเหลืองเฝ้าฯรับเสด็จที่ลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์
• นายแพทย์ เหรียญทอง แน่นหนา จะสวมเสื้อเหลืองไปเฝ้าฯนับเสด็จ ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์
10) เมื่อบังอาจแตะต้องสถาบันที่คนไทยยังรักและเทิดทูนอยู่ แถมโจมตีด้วยท่าทีเลวทราม ขาดความเคารพ หาได้มุ่งหมายจะเสนออย่างเคารพไม่ แรงเสียดทาน
จึงเกิดขึ้นทุกย่างก้าว
11) ในแง่กำลังคน จะสู้ไทยภักดี + อดีตหลวงปู่ +อดีตกำนันสุเทพ + คุณหมอเหรียญทอง ซึ่งเป็น“นักระดมพล” ได้หรือ? ยังไม่รวมแนวร่วมรอบนอกที่ “แรมโบ้อีสาน” รับงานประสาน นปช. ในสายที่ควบคุมได้ให้ส่งสัญญาณจงรักภักดี ปกป้องสถาบัน ซึ่งเป็นงานถนัดของแรมโบ้และแกนนำอีก 2-3 คนที่พร้อม “รับงาน”ถามว่า แกนนำเยาวชนจะเอาปัญญาที่ไหนไปจัดตั้งสู้ เพราะด้อยกว่าทั้งวุฒิภาวะในการนำ ประเด็นในการนำทุนในการนำ และความ “รอบจัด” ที่จะนำ แถมถูกประเมินว่า ถูก “หลอกใช้” อีกต่างหาก จะไปยังไงกันต่อ หากถูก “ผู้ใหญ่ที่อยู่ข้างหลัง-เท!!”
เลือกมิตรก็ผิด เลือกศัตรูก็ผิด เลือกประเด็นยิ่งผิด
หากพ่ายแพ้อย่าง “หมดรูป” รอบนี้
การจะกลับมาใหม่ด้วยท่าทีเดิม ประเด็นเดิม มันยากแสนยาก ไอ้หนูเอ้ย!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี