ตลอดประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของไทย การท้าทายความเป็นราชอาณาจักรไทยนั้นมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ทั้งในรูปแบบของลัทธิการล่าอาณานิคม และในรูปแบบของอุดมการณ์ทางการเมือง ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นสาธารณรัฐ จวบจนถึงขั้นให้เป็นระบอบคอมมิวนิสต์
แม้จะประสบกับปัญหารอบด้าน แต่ราชอาณาจักรไทยก็ยังสามารถฟันฝ่าความท้าทายต่างๆ มาได้อย่างสง่างาม ไม่ว่าจะเป็นการคุกคามจากทั้งอาณานิคมยุโรป และลัทธิคอมมิวนิสต์(นำโดย สหภาพโซเวียต และจีน)
แม้โลกคอมมิวนิสต์จะแตกสะบั้นไปพร้อมกับการล่มสลายของสหภาพโซเวียต แต่ความเชื่อและความนึกคิด หรือการมีอุดมการณ์เกี่ยวกับสังคมคอมมิวนิสต์ (เพื่อเปลี่ยนรูปโฉมให้ราชอาณาจักรไทยเป็นสาธารณรัฐ) ก็ยังแอบแฝงอยู่ในสังคมไทยมาเรื่อยๆ จะออกมาแสดงบทบาทมากน้อยก็ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและวันเวลา
บัดนี้ แนวคิดและการเคลื่อนไหวขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นสาธารณรัฐก็กลับมาคึกคักขึ้นอีก(แม้จะด้วยบุคคลที่สืบทอดแนวความคิดคอมมิวนิสต์ แต่ก็ระบุต่อสังคมว่าจะก้าวไปเป็นสาธารณรัฐในระบอบประชาธิปไตย) ด้วยเงื่อนไขที่ฝ่ายกองทัพเข้ามาแทรกแซงการเมืองการปกครองอย่างยาวนาน โดยฝ่ายทหารได้ประกาศว่าตนนั้นเป็นผู้ค้ำจุนสถาบันชาติ
โดยกลุ่มบุคคลที่สนับสนุนแนวคิดสาธารณรัฐต่างก็พยายามดำเนินการบ่อนทำลายความเป็นราชอาณาจักร ไม่ว่าจะด้วยการท้าทาย และเหยียดหยามสถาบันกษัตริย์ เป็นระยะๆ ซึ่งเป็นการพยายามตอกลิ่ม เพื่อสร้างความแตกแยก และทำลายแนวคิด “ประเทศไทยเป็นรัฐชาติหนึ่งเดียวกันจะแบ่งแยกไม่ได้”
ซึ่งทั้งหมดนี้จัดได้ว่าเป็นการปฏิบัติที่ละเมิดกฎหมายรัฐธรรมนูญในหลายหมวด และหลายๆ ข้อด้วยกันอย่างชัดเจน จึงเป็นหน้าที่ของฝ่ายรัฐบาล (บริหาร) ที่จะต้องออกมาตอบโต้ ชี้แจงแถลงไข รวมทั้งหาข้อยุติ หาข้อปรองดองสมานฉันท์เมื่อมีการเห็นต่าง
ในขณะเดียวกัน ก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องของสภานิติบัญญัติ ที่จะต้องมีการอภิปรายกัน และเป็นเวทีกลางที่จะเสริมสร้างความเข้าอกเข้าใจ เพื่อธำรงความเป็นราชอาณาจักรของไทยต่อไปให้ได้
แต่องค์กรหลักจริงๆ เกี่ยวกับการปฏิบัติ หรือไม่ปฏิบัติต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ นั้นคือ ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีหน้าที่พิจารณา ตีความ ให้ความกระจ่าง ให้คำปรึกษา และให้ข้อตัดสินว่า การใด กรรมใด ของใครก็ตาม เป็นการละเมิดกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือไม่
แต่จวบจนบัดนี้ สังคมก็ยังไม่ได้เห็นการขยับเขยื้อนใดๆ จากสถาบันศาลรัฐธรรมนูญเลย ซึ่งก็เข้าใจว่า ศาลรัฐธรรมนูญนั้นคงมีความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทของตนเอง เพียงแค่จะขยับก็ต่อเมื่อมีเรื่องราวมาถึงมือเสียก่อนเท่านั้น
อย่างไรก็ดี ศาลรัฐธรรมนูญนั้นแม้จะถูกจัดให้อยู่ในกรอบของฝ่ายตุลาการ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมก็จริง แต่อย่าลืมว่า ศาลรัฐธรรมนูญนั้นมีความเป็นพิเศษ ตรงที่เป็นทั้งศาลพิจารณาเรื่องการเมือง และเรื่องความยุติธรรมด้วย
ฉะนั้น ศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่จำเป็นต้องรอให้มีการฟ้องร้อง หรือให้มีการส่งเรื่อง เสนอเรื่องมาให้พิจารณาดังเยี่ยงศาลทั่วไป แต่สามารถจะเข้าไปดูแลเรื่องราวนอกศาลได้ทันทีที่เกิดปัญหาเกี่ยวกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ
ที่เป็นประจักษ์ต่อสายตาชาวไทยอยู่ ณ วันนี้ก็คือ กลุ่มนิยมสาธารณรัฐ ที่แสดงออกอย่างโจ่งแจ้งว่าต้องการล้มล้างความเป็นราชอาณาจักร ด้วยการกระทำ
การเหยียดหยามสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการละเมิดวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของไทย นอกจากนั้นยังสร้างความแตกแยกให้กับสังคมในระดับครอบครัว ซึ่งมีนัยของการละเมิดสิทธิและสร้างความแตกแยก ความสมัครสมานสามัคคีของสังคมด้วย ซึ่งโดยองค์รวมของการกระทำเหล่านี้ถือเป็นการละเมิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ
ฉะนั้น ศาลรัฐธรรมนูญจะอยู่นิ่งเฉย ไม่รู้เห็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวมิได้ จะต้องรีบออกมาชี้แจงต่อสาธารณชน และส่งสัญญาณให้ผู้กระทำการมิชอบต่างๆ ได้รับทราบว่าได้กระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องชอบธรรมลงไป รวมทั้งประสานงานกับหน่วยงานรัฐที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการป้องกัน และปราบปราม ให้ดำเนินการหยุดยั้งพฤติกรรมเหล่านั้นอย่างเร่งด่วน
ศาลรัฐธรรมนูญมีฐานะเป็นผู้ปกป้องกฎหมายรัฐธรรมนูญ จึงต้องออกมาแสดงตัวตนและท่าที เพื่อความสงบและผาสุกของสังคม ซึ่งการนิ่งเฉย รอเรื่องนั้น ถือว่าเป็นการไม่ปฏิบัติหน้าที่ เป็นการปล่อยเกียร์ว่าง
การละเมิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับความเป็นราชอาณาจักรถือเป็นโทษอันมหันต์ ผู้มีตำแหน่งหน้าที่รับผิดชอบก็ต้องทำหน้าที่อย่างขะมักเขม้น รวดเร็ว เป็นที่พึ่งพาของสังคมได้อย่างจริงจัง และแท้จริง มิเช่นนั้นสังคมก็จะตกอยู่ในความระส่ำระสาย วุ่นวาย เพราะถูกก่อกวนจนสูญเสียความสงบสุข
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี