จุดขาย หรือนโยบายหาเสียงโดดเด่น ที่ส่งผลให้นายโดนัลด์ ทรัมป์ กุมชัยชนะการเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ในเดือนพฤศจิกายน 2559 (และดำรงตำแหน่ง 20 มกราคม 2560) ก็คือสโลแกนที่ว่า “America First” หรือ “อเมริกาต้องมาก่อน” ซึ่งได้กลายเป็นคำที่ติดหูติดตาผู้ได้ยิน และสร้างคะแนนนิยมเป็นอย่างมาก
แม้ว่าจะเป็นคนนอกวงการการเมือง ไม่ได้เป็นนักการเมืองอาชีพ ไม่เคยมีตำแหน่งทางการเมืองแต่ความที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ และเป็นนักจัดรายการเรื่องการบริหารจัดการธุรกิจที่มีชื่อเสียง ก็ย่อมได้ข้องแวะกับแวดวงต่างๆ ของสหรัฐอเมริกาอยู่พอควร นั่นทำให้หยั่งรู้ และสามารถจับจุด จิตใจนึกคิดของคนอเมริกันไว้ได้ ชนิดเกินความคาดคิดคาดหมายของคู่แข่ง และเกจิอาจารย์ทางการเมืองใดๆ แล้วทำไมวลี “อเมริกันต้องมาก่อน” ถึงขายได้? (หรือจะพูดว่า “กินได้” ก็คงไม่ผิด)
วลี “อเมริกันต้องมาก่อน” นั้น สะท้อนซึ่งความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ของคนอเมริกันในเวลานั้นและจนบัดนี้ว่า สหรัฐอเมริกานั้นได้ถูกคุกคาม และถูกเอารัดเอาเปรียบจากประเทศอื่นๆ มาโดยตลอด ซึ่งบรรดาผู้นำทางการเมืองคนอื่นๆ ก็ดูไม่ใส่ใจ และไม่ลงมือทำการใดอย่างเข้มแข็ง คึกคัก จริงจัง เพื่อช่วยเหลือชาวอเมริกัน และฟื้นฟูสถานะ และเกียรติภูมิของสหรัฐอเมริกา
ชาวอเมริกันรู้สึกว่า ในระยะหลังๆ ศักดิ์ศรี เกียรติภูมิ ของสหรัฐอเมริกา ถูกดูถูก และถูกหยามเหยียด ไม่เป็นที่เกรงอกเกรงใจ ไม่เป็นที่หวั่นเกรงดั่งที่เคยเป็นมาในอดีต
นโยบายอเมริกาต้องมาก่อนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จึงเป็นเรื่องของการกู้ศักดิ์ศรี ใฝ่หาความสมดุลของเรื่องราว ที่จะไม่ให้มีใครมาเอารัดเอาเปรียบหรือหาแต่ประโยชน์จากสหรัฐอเมริกาอีกต่อไป ซึ่งสหรัฐอเมริกาจะต้องดูแลตนเอง และเอาตนเองเป็นที่ตั้งไม่ใช่อยู่ด้วยการเกรงอกเกรงใจ หรือคล้อยตามไปกับกฎหมาย หลักการ ความรู้สึกนึกคิด ที่ทำให้สหรัฐอเมริกาเสียเปรียบ เสียรังวัด หรือไม่ปลอดภัย
วลี อเมริกันต้องมาก่อน ถูกแปลงออกมาเป็นการปฏิบัติต่างๆ ทั้งที่บ้านและนอกบ้าน เช่น
1.การเข้มงวดกับแรงงานต่างชาติ
2.การเข้มงวดกับผู้อพยพลี้ภัย
3.การเข้มงวดกับพวกนับถือศาสนาอิสลามโดยรวม เพราะการแฝงตัวของบรรดาผู้มีความคิดสุดโต่งหัวรุนแรง และการก่อการร้าย
4.การทบทวนข้อตกลงการเปิดเสรีทางการค้า เพื่อที่จะปรับมิให้ประเทศคู่ค้าเอารัดเอาเปรียบสหรัฐอเมริกา
5.การบีบบังคับและคว่ำบาตรจีน เพื่อให้เล่นตามกติกาสากลอย่างจริงจัง ไปจนถึงเรื่องการลักขโมยทรัพย์สินทางปัญญา และการป้องกันการจารกรรม และความมั่นคงทางระบบสื่อสารอวกาศ
6.การบีบให้ฝ่ายมิตรประเทศกันงบประมาณไว้ร้อยละ 2 ของจีดีพีตามสัญญาเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ เพื่อพัฒนาแสนยานุภาพ และลดการพึ่งพาแบบ “ตีกิน” กับสหรัฐอเมริกา
7.การถอนตัว หรือลดการสนับสนุนองค์การในเครือข่ายสหประชาชาติ หากเห็นว่าไม่ได้ทำประโยชน์จริงจัง หรือแค่เป็นเวทีเพื่อโจมตีสหรัฐอเมริกา
8.การถอนตัวออกจากข้อตกลง ว่าด้วยการจำกัดการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่าน เพื่อบีบคั้นอิหร่านโดยตรงด้วยการคว่ำบาตร เพื่อให้อิหร่านยุติการทำตนเป็น “นักเลงโต”
9.การใช้มาตรการฝ่ายเดียว เช่น กรณีรับรองให้กรุงเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล (โดยไม่คำนึงถึงข้อเรียกร้องของฝ่ายปาเลสไตน์) เป็นต้น
นอกจากนั้น ชาวอเมริกันนั้นเห็นว่า ตลอดช่วง30-40 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมการผลิต (ManufacturingIndustry) ได้ย้ายออกจากสหรัฐอเมริกาไปตั้งอยู่ในต่างประเทศ (โดยเฉพาะประเทศจีน) ก็เพราะบริษัทต่างๆ ได้รับสิทธิพิเศษ รวมทั้งยังมีค่าแรงราคาถูก ซึ่งส่งผลให้คนอเมริกันว่างงานมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนั้นยังทำให้ชาวอเมริกันต้องซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคจากต่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งก่อให้เกิดการขาดดุลทางการค้าอย่างมาก
ในการนี้นโยบายอเมริกันต้องมาก่อนของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ก็คือ การลดภาษีรายได้ การลดอัตราดอกเบี้ยให้กับบรรดานักลงทุน และเจ้าของธุรกิจเพื่อให้โรงงานยอมย้ายกลับมาสู่แผ่นดินสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นการเพิ่มการจ้างงานให้กับชาวอเมริกันด้วย
ทั้งหมดนี้ ได้ส่งผลกระทบต่อทั้งโลกในด้านการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจและสังคม นั่นคือสหรัฐอเมริกาโดยประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่เอาด้วยกับการทูตแบบพหุภาคี หรือการร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะในกรอบและผ่านทางสถาบันระหว่างประเทศที่สหรัฐอเมริกาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในการจัดตั้งมาตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่น องค์การสหประชาชาติ ธนาคารโลก สถาบันการเงินระหว่างประเทศ และองค์กรในเครือข่ายขององค์การสหประชาชาติอีกมากมาย เป็นต้น
นั่นจึงทำให้ ระเบียบวิถีโลก (World Order)มีความไม่แน่นอน และเกิดความปั่นป่วนตลอดระยะเวลาเกือบ 4 ปีที่ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ บริหารประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งอีกไม่ถึงเดือน (หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ) ชาวโลกก็จะได้ทราบว่า ความปั่นป่วนนี้ จะยังคงทวีความวุ่นวายต่อไปหรือไม่ หรือจะหวนกลับสู่วิถีแนวทางเดิมอย่างที่เป็นมา หรือระหว่างลัทธิ “ข้าไปคนเดียว” กับ “ลัทธิเราไปด้วยกัน”
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี