วันที่ 27 ตุลาคม 2563 ที่รัฐสภา ในการประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ ที่มีนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา เป็นประธานการประชุม โดยในช่วงเช้าเป็นการอภิปรายสลับกันของ สส.ฝ่ายค้าน สส.ฝ่ายรัฐบาล และ สว.
โดย น.ส.มนพร เจริญศรี สส.นครพนม พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐบาล ควรเลิกอ้างได้แล้วว่า การปกป้องสถาบัน จะต้องมีพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯเท่านั้น คนไทยส่วนใหญ่เคารพเทิดทูนสถาบัน พร้อมปกป้อง อย่าผูกขาดสถาบันไว้ฝ่ายเดียว
ตนนึกถึงประวัติศาสตร์เรื่องพันท้ายนรสิงห์ อดีตนายทหารที่ได้ปกป้องขบวนเรือเสด็จฯของพระราชา นำเรือผ่านคูคลองคดเคี้ยวแต่ไม่อาจหลบเลี่ยงได้ พันท้ายนรสิงห์คิดว่า นั่นคือการไม่สามารถอารักขาได้ จึงเสนอให้ประหารชีวิตตนเอง
เช่นเดียวกับวันนั้น ที่มีขบวนเสด็จพระราชดำเนิน พล.อ.ประยุทธ์ ปล่อยให้ขบวนเสด็จฯผ่าน โดยที่นายกฯไม่คิดถึงอันตรายที่เกิดขึ้น และนายกฯก็ใช้อำนาจเหล่านั้นไปลงโทษตำรวจโดยปัดความรับผิดชอบ
ตนถือว่าสิ่งเหล่านี้ เทียบเคียงได้กับพันท้ายนรสิงห์ พล.อ.ประยุทธ์ควรพิจารณาตัวเอง แล้วรับผิดชอบต่ออันตรายที่จะเกิดขึ้นในขบวนเสด็จฯครั้งที่ผ่านมา ถ้าเราจะทำใจให้เป็นธรรม วันนี้พล.อ.ประยุทธ์ ควรจะนำใบลาออกไปถวายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและรับผิดชอบต่อการกระทำที่เกิดขึ้นได้เเล้ว
1) ผมเห็นด้วยในประเด็นที่ว่า “...ควรเลิกอ้างได้แล้วว่า การปกป้องสถาบัน จะต้องมีพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯเท่านั้น...” ทำไมครับ ประเทศไทยมีคนตั้งเกือบ 70 ล้านคน จะมีคนแค่คนเดียวเท่านั้นหรือครับ ที่จะปกป้องพระมหากษัตริย์ได้
2) ในความเป็นจริง พระมหากษัตริย์มีกลไกปกป้องไว้แล้วมากมายครับ ตั้งแต่รัฐธรรมนูญ กฎหมายอาญา ฯลฯ พระมหากษัตริย์มิได้ขาด “เครื่องมือปกป้อง” เพียงแต่สิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้ คือการจาบจ้วง ด่าทอ โดยขาดความเคารพเทิดทูนจากคนพวกหนึ่ง จึงดูเหมือนพระองค์ท่านทรง“มีภัย”
3) แต่ในท่ามกลางความหวั่นวิตกของประชาชนผู้จงรักภักดี คำถามคือ แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ในวันนี้ ปกป้องสถาบัน หรือต้องใช้สถาบันมาเป็นเครื่องปกป้องตัวเองกันแน่ ค่อยๆ คิด ค่อยๆ พิจารณากันดีๆ นะครับ
4) กระนั้นก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้จงรักภักดี และมีจิตใจแน่วแน่ในการปกป้องสถาบันแน่นอน ไม่ต้องสงสัยเลย บวกกับว่าขณะนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังมีบารมีเหนือ “นักการเมือง” ในพรรคพลังประชารัฐ และพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งเป็น “เสียงข้างมาก” ในสภาผู้แทนราษฎร บวกกับมีบารมีเหนือ “สมาชิกวุฒิสภา” ในทางจำนวนในสภา พล.อ.ประยุทธ์ จึงเป็น “ความมั่นคงในส่วนนี้ ซึ่งยังนึกไม่ออกว่าพ้นจากท่านแล้ว ใครจะมาทดแทนในส่วนนี้ได้ นั่นคงเป็นความหมายและความสำคัญ ที่ใครหลายคนออกมาพูดไปในทำนองเดียวกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะลาออกไม่ได้ เพราะบ้านเมืองจะเกิดความโกลาหล ซึ่งท่ามกลางความโกลาหล จะเกิดอะไรตามมาก็ไม่รู้
5) ในเวลาเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยังได้รับการยอมรับจากกองทัพด้วย คนที่กุมแรงกระเพื่อมในสภา ในคณะรัฐมนตรี ในกองทัพได้ นอกจากพล.อ.ประยุทธ์แล้ว มีชื่อไหนขึ้นมาเป็นแคนดิเดตบ้าง
6) ยิ่งหาก พล.อ.ประยุทธ์ ลาออก สภาก็ต้องเลือกนายกฯ ใหม่ตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบ ถ้าพรรคการเมืองใหญ่ คือ พรรคพลังประชารัฐ ยังเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ พรรคประชาธิอปัตย์จะกล้าเสนอ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นประชันหรือ เพราะทุกวันนี้ เกิดแรงกระเพื่อมอะไรภายในพรรค ก็เพ่งเล็งไปที่นายอภิสิทธิ์กันทุกที หัวหน้าพรรค และ สส.พรรคเวลานี้ ใครจะเสนอชื่ออภิสิทธิ์? เช่นเดียวกับพรรคภูมิใจไทย จะกล้าเสนอชื่อ นายอนุทิน ชาญวีรกูล แข่งหรือ? แคนดิเดตจากฝ่ายค้าน อย่างคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ นายชัยเกษม นิติสิริ และนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ นั้น คงไม่ต้องพูดถึง เพราะยังไงก็ไม่มีเสียงพอจะสู้กับพรรคพลังประชารัฐบวกแนวร่วมและ สว. ได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่า หากลาออกไปแล้ว แล้วยังรับการเสนอชื่ออีก สถานการณ์ทางการเมืองจะเป็นอย่างไร นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
7) หากจะไม่เลือกใครเลยจากบัญชีรายชื่อที่ส่งให้ กกต. ไว้ ก็ต้องเข้าชื่อกันงดเว้นเงื่อนไขนี้ แล้วเปิดให้โหวต “คนนอกบัญชีรายชื่อ” ได้ จะเอาใครมาทดแทนล่ะ นายชวน หลีกภัย นายอานันท์ ปันยารชุน หรือใคร? ยังไงก็จะถูกอีกฝ่ายโจมตีว่า ก็มาจากเสียงข้างมากที่เป็น “กลไก” ที่ คสช. ออกแบบไว้อยู่ดี คือยังให้ สว. มีสิทธิเลือกนายกฯ ได้ ก็จะใช้เป็นข้ออ้างไม่ยอมรับ มันก็จะเกิดประเด็นใหม่ที่กลายเป็น “ความขัดแย้ง” เพิ่มขึ้นมาอีก ในท่ามกลางสภาพบ้านเมืองที่ไม่ได้อยู่ในสภาพ “เป็นปกติสุข” ทว่ามีปัญหาเยอะแยะมากมาย
8) บางคนจึงบอกไงครับ ว่า พล.อ.ประยุทธ์ ออกไม่ได้ แต่ฝ่ายผู้ชุมนุมคงไม่เห็นด้วย เพราะที่สาธยายมาทั้งหมดนั้น เป็นปัญหาของฝ่ายคุณ ไม่ใช่ฝ่ายเขา เขาไม่ได้สนใจว่าบ้านเมืองจะกลียุคหรือไม่ การเมืองจะขัดแย้งกันปานใด สถาบันจะอยู่ในภาวะ “มีภัย” หรือเปล่า เนื่องจาก “ความโกลาหล” อาจเป็นสถานการณ์ที่คนบางกลุ่ม “ต้องการ” ก็ได้
9) แต่มันก็อิหลักอิเหลื่อตรงที่ ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ออก ก็จะเป็นเงื่อนไขให้ฝ่ายผู้ชุมนุมใช้เป็นข้อเรียกร้อง/ข้ออ้าง หรือใช้เป็นเงื่อนไขที่จะชุมนุมกันต่อไป และในการชุมนุม หากยกระดับความรุนแรง และยังคงยืนกรานที่จะหยาบคายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่อ้างว่าแค่ขอ “ปฏิรูปสถาบัน” ไม่ใช่ล้มล้างสถาบัน สถานการณ์จะบานปลายไหม เพราะขณะนี้ เริ่มมีกลุ่ม “คนเสื้อเหลือง” ภายใต้การนำของหมอวรงค์ กำนันสุเทพ หลวงปู่พุทธะอิสระ อุ๊ หฤทัย ทนายนกเขา บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ฯลฯ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆจากภาวะ “เหลืออด” บ้าง จากภาวะ “การเมืองจัดตั้ง” บ้าง จะกุมสถานการณ์อย่างไรไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง “ตบะแตก”
10) และคำถามเรื่อง ปล่อยขบวนเสด็จเข้าสู่พื้นที่เสี่ยง นายกฯ จะตอบยังไง จะเงียบเฉยไป เหมือนกรณีกล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบตามรัฐธรรมนูญ และหลังจากนั้น ก็ไม่ได้ยินอีกเลยว่า การนำคณะรัฐมนตรีชุดหลังๆ หรือกระทั่งคนล่าสุด คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ท่านนายกฯ กล่าวคำปฏิญาณว่าอย่างไร
11) และแน่นอน ประชาชนคนอื่นๆ (รวมทั้งผมด้วย) ก็มีคำถามว่า ขบวนเสด็จฯใช้เส้นทางนั้น ทำไมถึงเรียกว่าพื้นที่เสี่ยงล่ะ ในเมื่อฝ่ายชุมนุมบอกว่าชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ และถ้าผู้ชุมนุมเคารพเทิดทูนสถาบัน เมื่อทราบแล้วว่าเป็นขบวนเสด็จฯ โดยอัตโนมัติ เราก็จะนั่งลง บ้างก็จะพนมมือถวายความเคารพด้วย ปัญหาจะเกิดไหมแต่นี่รู้ทั้งรู้ว่าเป็นขบวนเสด็จฯ ตำรวจก็คล้องแขนกัน กันพื้นที่แล้ว ก็ยังขวาง ยังชูสามนิ้ว ยังตะโกนว่า “ภาษีกู ภาษีกู”ยังด่าทอด้วยคำหยาบคาย ยังไล่ให้ไปตาย มันใช่หรือ? ซึ่งในที่สุด เรื่องนี้ก็จะเถียงกันไม่รู้จบ และถูกใช้เป็นเครื่องมือ “สวนและเสียบ” ฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์ และผู้สนับสนุนอยู่ร่ำไป เหมือนที่ สส.หญิง พรรคก้าวไกล พยายามจะเล่นประเด็นนี้ทั้งในสภา และในการแถลงข่าว ซึ่งโง่ที่สุดก็ย่อมรู้ว่า เป้า-ไม่ได้อยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์
นายวิรัตน์ วรศสิริน สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย อภิปรายว่า การชุมนุมที่เกิดขึ้นเป็นปรากฏการณ์ความเห็นต่างของคนต่างรุ่นต่างวัย ซึ่งเราต้องมาพูดความจริงถึงจะแก้ไขปัญหาได้
ในสถานการณ์เช่นนี้ นายกฯมี 4 ทางเลือก คือ 1.ซื้อเวลา ไม่ออก ไม่สนใจอยู่แบบนี้ ปล่อยให้มีการชุมนุม ทำร้ายประเทศชาติไปเรื่อยๆ 2.ลาออกและยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าตัวเองเป็นต้นตอของปัญหาทั้งหมด หากไม่ยึดอำนาจในวันนั้นก็คงไม่มีเหตุการณ์ในวันนี้ ถ้าหากเสียสละลาออกก็จะสามารถแก้ไขปัญหาได้ โดยนายกฯใหม่ที่เข้ามาก็จะมาพูดคุยหาข้อสรุปของผู้ชุมนุมได้
3.ยุบสภา เชื่อว่าถ้าไม่มีทางออกคงเลือกข้อนี้มากที่สุด แต่การยุบสภาจะสามารถแก้ปัญหาได้จริงหรือไม่ การชุมนุมจะบานปลายทำให้รัฐล้มเหลว อีกทั้งกว่าผลการเลือกตั้งกว่าจะออกมาได้ต้องใช้เวลานาน ดังนั้น การยุบสภาจึงไม่ใช่ทางออก และ 4. ยึดอำนาจ ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าเกิดขึ้นจริงหายนะจะเกิดขึ้น แผ่นดินจะนองเลือด อย่างไรก็ตาม ขอฝาก 4 ทางเลือกให้กับนายกฯได้นำไปพิจารณาด้วย ต้องรีบตัดสินใจยิ่งช้ายิ่งสะสมปัญหา
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ชี้แจงว่า “ท่านพูดเรื่องยึดอำนาจรัฐประหาร แต่ไม่เคยพูดถึงเผด็จการรัฐสภาที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านั้น แล้วรัฐธรรมนูญฉบับปี’60 ผมคิดว่าผมไม่ได้ไปก้าวล่วงเกี่ยวกับการร่างรัฐธรรมนูญ หลายท่านมองว่าผมไม่เป็นธรรมหรือปล่อยปละละเลย ผมคิดว่าผมต้องพูดวันนี้ ถ้าไม่พูดก็ไม่ได้ อย่าลืมว่าประวัติศาสตร์คือปัจจุบันและอนาคต ประชาชนคนไทยทุกคน ทุกหมู่เหล่า ทุกชาติ ศาสนา เชื้อชาติ สัญชาติ อยู่ในประเทศไทยต้องรักประเทศไทย ผมบังคับท่านไม่ได้ แต่ต้องเป็นสิ่งที่ท่านต้องตอบแทนแผ่นดิน หลายอย่างที่เกิดขึ้นก่อนที่ผมจะเข้ามา ถามว่าลืมแล้วหรือยัง ท่านลืมแล้วทั้งหมด สมัยนั้นท่านทำอะไรกัน สิ่งที่เกิดขึ้นวุ่นวายที่ผ่านมาท่านทำอะไรกันอยู่ การทุจริตที่มีหลักฐานชัดเจนเชิงประจักษ์ท่านลืมหมดแล้วหรือ ถ้าลืมก็กรุณาไปทบทวนใหม่ว่าเกิดอะไรขึ้นในปี 2557 และก่อนหน้านั้นหลายปีมาแล้วด้วย วันนี้ที่บ้านเมืองวุ่นวายอยู่ทุกวันเพราะอะไร” นายกรัฐมนตรี กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ก็ออกลูกนี้เสมอ คือ ผมยึดอำนาจเพราะการเมืองมีปัญหา และผมไม่เกี่ยวกับกระบวนการใดๆ เลย ในการเขียนกฎหมาย
ท่านครับ ท่านเกี่ยวตั้งหลายขั้นตอน แต่จะฟื้นฝอยหาตะเข็บก็เปล่าประโยชน์ สิ่งที่น่าติดตามคือ “ปัจจุบันและอนาคต” ต่างหากล่ะ ชะตาชีวิตทางการเองของ พล.อ.ประยุทธ์ จะออกมาในรูปใด
คือเรื่องที่ต้องติดตาม!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี