นับตั้งแต่การรัฐประหารปี 2490 เป็นต้นมา สังคมการเมืองไทยยังคงวนเวียนอยู่ในวัฏจักรของ....การรัฐประหาร มีรัฐธรรมนูญชั่วคราว ร่างรัฐธรรมนูญใหม่การเลือกตั้ง รัฐบาลจากการเลือกตั้งแล้วก็วนกลับมาสู่การทำรัฐประหารใหม่อีก.....
การดำรงอยู่ของวงจรการทำรัฐประหารและฉีกรัฐธรรมนูญทำให้ผู้นำฝ่ายทหารต้องการเนติบริการของเนติบริกรในการร่างคำประกาศ ประดิษฐ์คิดคำสั่งคณะรัฐประหาร ออกแบบสถาบันทางการเมือง รวมไปถึงให้คำแนะนำแก้ไขปัญหาทางกฎหมายเพื่อไม่ให้คณะทหารผู้ทำการรัฐประหารมีความผิดในข้อหากบฏล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ในยุคแรกๆ บุคคลผู้มีบทบาทให้เนติบริการกับผู้นำฝ่ายทหาร มักจะเป็นนักกฎหมายจากกระทรวงยุติธรรมและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องปกติที่เนติบริกรจากหน่วยดังกล่าว จะต้องให้เนติบริการกับชนชั้นปกครองหรือผู้มีอำนาจในขณะนั้นเพราะเป็นข้าราชการสังกัดองค์กรซึ่งมีหน้าที่เป็นที่ปรึกษากฎหมายของแผ่นดิน
ดังนั้น คำว่า “เนติบริกร” โดยตัวมันเองแล้ว จึงไม่ใช่คำที่มีความหมายเชิงลบแต่ประการใด
พระยาอรรถการีย์นิพนธ์ (สิทธิ จุณณานนท์) อดีตอธิบดีกรมอัยการ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และรัฐมนตรี ในรัฐบาลเสนีย์ ปราโมช ช่วงหลังสงคราม ถือเป็นเนติบริกรคนแรกๆ ในประวัติศาสตร์การเมืองร่วมสมัยของไทยเขาเป็นหนึ่งในมันสมองผู้ร่างรัฐธรรมนูญชั่วคราว ฉบับปี 2490 หรือรัฐธรรมนูญ ฉบับใต้ตุ่ม ที่คณะรัฐประหารนำโดย พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ เตรียมร่างเอาไว้ แล้วให้ น.อ.กาจ กาจสงคราม รองหัวหน้าคณะรัฐประหารนำเอาไปซ่อนไว้ใต้ตุ่มเพื่อป้องกันไม่ให้ความลับรั่วไหล เมื่อทำรัฐประหารสำเร็จ คณะผู้ก่อการจึงเอาออกมาจากตุ่มแล้วประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญชั่วคราว ต่อมาเมื่อมีการร่างรัฐธรรมนูญถาวร ฉบับปี 2492 พระยาอรรถการีย์นิพนธ์ก็ยังคงเป็นหนึ่งในผู้ร่วมร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับนี้
ภายหลังการทำรัฐประหารปี 2500 พระยาอรรถการีย์นิพนธ์ ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมและต่อเนื่องยาวนานมาจนถึงปี 2512 ตั้งแต่รัฐบาลพจน์ สารสิน สฤษดิ์ ธนะรัชต์ และ ถนอม กิตติขจร ตามลำดับ และในฐานะมือกฎหมายของรัฐบาลในยุคนั้น พระยาอรรถการีย์นิพนธ์คงจะปฏิเสธไม่รู้ไม่เห็นได้ว่า มาตรา 17 ใน ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร 2502 ที่ให้อำนาจจอมพลสฤษดิ์ล้นฟ้า เป็นผลงานชิ้นโบดำของเนติบริกรคนใด
เช่นเดียวกับ ลูกศิษย์และหลานศิษย์ของพระยาอรรถการีย์นิพนธ์ในรุ่นต่อมาที่มีผลงานในการบรรจุ มาตรา 44 เข้าไปใน รัฐธรรมนูญ ชั่วคราวฉบับปี 2557 ที่ให้อำนาจ พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติล้นฟ้าและไม่ต้องมีความรับผิดชอบใดๆ ย้อนกลับไปเหมือนยุคจอมพลสฤษดิ์ อีกครั้ง
ภายหลังการรัฐประหารปี 2519, 2520 และ 2534 ภายใต้ระบอบกึ่งเผด็จการ-กึ่งประชาธิปไตย คณะบุคคลผู้มีบทบาทในการจัดทำรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญฉบับปี 2519, 2521 และ 2534 ส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นเนติบริกรในระบบราชการอยู่เหมือนเดิม โดยเฉพาะจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยเริ่มมีอาจารย์มหาวิทยาลัยในสายนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์สอดแทรกเข้ามาบ้าง
เช่น ภายหลังการทำรัฐประหาร 20 ตุลาคม 2520คณะทหารที่รวมตัวกันทำรัฐประหารในนามของคณะปฏิวัติที่นำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ก็ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่อร่าง ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรไทย 2520 ขึ้นใช้แทนรัฐธรรมนูญเป็นการชั่วคราว คณะกรรมการชุดนี้มี ศ.ดร.สมภพ โหตระกิตย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในขณะนั้น เป็นประธาน และ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ผู้อำนวยการกองยกร่างกฎหมายคนแรกของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทำหน้าที่เลขานุการของคณะกรรมการ
ภายหลังการรัฐประหารปี 2534 นายมีชัย ฤชุพันธุ์ผู้อยู่เบื้องหลังการเขียน ธรรมนูญการปกครอง ฉบับชั่วคราว ปี 2534 ให้กับคณะรัฐประหารที่เรียกตนเองว่า “สภารักษาความสงบแห่งชาติ” (รสช.) ก็ก้าวขึ้นมาเป็นประธานกรรมาธิการร่าง รัฐธรรมนูญปี 2534 ที่มีเนื้อหาสำคัญไม่ต่างไปกว่ารัฐธรรมนูญที่เนติบริกรรุ่นก่อนๆ เขียนให้กับคณะรัฐประหารในอดีต กล่าวคือการออกแบบกลไกให้คณะทหารได้สืบต่ออำนาจการปกครองต่อไปอีกระยะหนึ่ง ปูทางให้ พล.อ.สุจินดา คราประยูร รองหัวหน้าสภา รสช. ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนนอกจนนำไปสู่เหตุการณ์ประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2535
อีก 15 ปีต่อมา ภายหลังการรัฐประหารปี 2549 โดยการนำของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน นายมีชัยก็เป็นผู้อยู่เบื้องหลังคำประกาศ แถลงการณ์และคำสั่งต่างๆ ของ “คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”(คปค.) และ อีก 8 ปีต่อมา ภายหลังการรัฐประหารปี 2557 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา “หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ”(คสช.) ก็ยังคงเรียกใช้เนติบริการจากเนติบริกรเจ้าเก่า นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ให้เป็นประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ปี 2560 รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันนี้ที่นายมีชัยได้ออกแบบกลไกพิสดารให้ คสช. สืบทอดอำนาจด้วยสูตร พรรคทหาร รัฐบาลผสม สมาชิกวุฒิสภาแต่งตั้งและนายกรัฐมนตรีคนนอก ไม่ต่างไปจาก รัฐธรรมนูญปี 2534 ที่เขาเคยเป็นประธานร่างมาก่อนเมื่อ 26 ปีก่อน
ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น คำว่า “เนติบริกร” ไม่ใช่คำที่มีความหมายเชิงลบแต่ประการใด มีเนติบริกรจำนวนมากให้เนติบริการเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ การเมืองและสังคมของคนทุกกลุ่มอย่างแท้จริง ไม่ใช่ทำเพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือกลุ่มเดียวที่เป็นส่วนน้อยและได้ประโยชน์อย่างเต็มที่
แต่ในทางตรงกันข้าม ก็ยังมีเนติบริกรอีกจำนวนหนึ่งให้เนติบริการด้วยการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนหรือผู้มีอำนาจต้องการเท่านั้น มิใยว่าจะขัดต่อคุณธรรมหรือหลักการใดๆ หรือสร้างปัญหาให้คนส่วนใหญ่เพียงใดก็ตาม โดยค่าจ้างที่เนติบริกรกลุ่มนี้ได้รับมักปรากฏออกมาในรูปแบบของผลตอบแทนของการดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตั้งแต่ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี สมาชิกวุฒิสภาแต่งตั้ง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ประธานวุฒิสภาไปจนถึงตำแหน่งประรัฐสภา
อย่างไรก็ตาม.....ตำแหน่งเดียวที่คณะรัฐประหารหรือผู้นำฝ่ายทหารคนใดก็ไม่สามารถมอบให้กับเนติบริกรกลุ่มนี้ได้ ก็คือ การเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย
ดร.ธิติ สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี