เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา มูลนิธิคอนราด อาเดนาวร์ ในสังกัดของพรรคคริสเตียนเดโมแครต แห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ได้จัดเวทีเสวนาเชิงถาม-ตอบ เกี่ยวกับลู่ทางการฟื้นตัวของสหภาพยุโรปในยุคหลังโรคระบาดโควิด-19 และบทบาทความรับผิดชอบของสหภาพยุโรปต่อความเป็นไปในโลก (Recovery and Responsibility) ซึ่งผมเองก็ได้รับคำเชิญให้เข้าร่วมแสดงความคิดเห็นด้วย ก็เลยถือโอกาสขอสรุปสาระโดยรวม รวมทั้งข้อคิดเห็นของผม มาเล่าสู่กันฟัง ณ ที่นี้
ก่อนอื่น ผมได้แสดงความชื่นชมสหภาพยุโรปในฐานะองค์การร่วมมือระดับภูมิภาค ที่ประสบความสำเร็จสูงสุด เมื่อเทียบกับองค์การร่วมมือภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลก ที่ได้เกิดขึ้นภายใต้กรอบของสังคมเสรีประชาธิปไตย และการบริหารจัดการภายใต้กรอบกฎหมายและหลักธรรมาภิบาล โดยมีวิวัฒนาการที่เริ่มต้นจากประชาคมถ่านหินและเหล็ก สู่ตลาดร่วมและประชาคมเศรษฐกิจยุโรป จนเป็นสหภาพยุโรป พร้อมด้วยการร่วมกันใช้เงินสกุลกลางที่ชื่อ “ยูโร” มาจวบจนทุกวันนี้ ซึ่งเริ่มต้นกันด้วยประเทศสมาชิกไม่กี่ประเทศ จนเติบโตสูงสุดจำนวน28 ประเทศ และได้ลดเหลือ 27 ประเทศ เมื่ออังกฤษตัดสินใจถอนตัวออกไปเมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว
ถ้าบอกว่าการรวมตัวกันของประเทศยุโรป เป็นโครงการเสริมสร้างสันติภาพ (Peace Project) ก็คงต้องยอมรับว่า เป็นโครงการที่ประสบความสำเร็จ หลังจากที่ยุโรปรบราฆ่าฟันกันเองมาร่วม 300-400 ปี ก็ไม่ได้มีสงครามระหว่างกันอีกเลยมาร่วม 60 ปีที่ผ่านมา ซึ่งผมเห็นด้วยกับข้อสังเกตนี้
นั่นจึงทำให้สหภาพยุโรปประสบความสำเร็จทั้งในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เป็นพลังอำนาจระดับโลก (นอกจากสหรัฐอเมริกา จีน และรัสเซีย) ซึ่งจัดได้ว่า ยุโรปนั้นเป็น 1 ใน 4 เส้าหลักของโลกไปแล้ว
สหภาพยุโรปได้แสดงให้โลกเห็นว่า ความเป็นประชาธิปไตยนั้นไปกันได้กับระบบเศรษฐกิจการตลาดแบบเปิด หรือทุนนิยมที่เอื้ออาทรต่อความทัดเทียม และยุติธรรมในสังคม เพราะวิวัฒนาการของสหภาพยุโรปนั้นก็มิได้ราบรื่นไปทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น
การขยายประเทศสมาชิก (Enlargement) ต้องใช้เวลา โดยรอให้ประเทศสมาชิกใหม่ๆ ปรับตัว และรับทุนช่วยเหลือจากงบกลางในการเร่งการพัฒนาต่างๆ
ยังต้องกำจัดควันหลง หรือสิ่งที่ค้างคามาจากระบบเผด็จการ โดยเฉพาะในหมู่ประเทศสมาชิกที่หลุดพ้นจากการครอบงำของอดีตสหภาพโซเวียต
ลัทธิชาติพันธุ์นิยม และชาตินิยม ที่ปฏิเสธกติกากลางของสหภาพยุโรป และปฏิเสธแรงงานต่างชาติ และผู้อพยพลี้ภัยจากตะวันออกกลาง
อัตราการว่างงาน อันสืบเนื่องมาจากการใช้เทคโนโลยีแทนแรงงานคน และการโยกย้ายโรงงานไปนอกสหภาพยุโรป เพราะค่าจ้างแรงงานต่ำกว่า
การใช้จ่ายงบประมาณอย่างสุรุ่ยสุร่ายของประเทศสมาชิกบางประเทศด้วยนโยบายและมาตรการประชานิยมที่มิได้ก่อให้เกิดการสร้างงานที่ยั่งยืนและแข่งขันได้
การบิดเบือนหลักเสรีประชาธิปไตย และการใช้อำนาจรัฐและกฎหมายเป็นเครื่องมือในการหักหาญผู้เห็นต่างในบางประเทศสมาชิก เช่น โปแลนด์ และฮังการี ซึ่งกระทบความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และความศักดิ์สิทธิ์ของกติกากลาง เป็นต้น
แต่ก็พอรวมความได้ว่า ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาโดยประมาณสหภาพยุโรปมัวแต่สาละวนอยู่กับเรื่องภายใน ฉะนั้นจึงทำให้อิทธิพล และสุ้มเสียงในเวทีระหว่างประเทศถดถอยลง ส่งผลให้ความน่าเกรงขาม น่าเคารพนับถือจืดจางลงไป และบัดนี้ดังทุกประเทศทั่วโลก เศรษฐกิจและสังคมของสหภาพยุโรปก็ถูกซ้ำเติมด้วยโรคระบาดโควิด-19
ซึ่งคำถามก็คือ สหภาพยุโรปจะฟื้นตัวได้หรือไม่?
ผมเองนั้นเชื่อมั่นว่าสหภาพยุโรปจะสามารถกระทำได้อย่างแน่นอน นั่นก็เพราะยุโรปมีองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีอยู่มากมาย มีประสบการณ์เรื่องการบริหารจัดการที่ดี รวมทั้งมีระบบการร่วมมือ 3 เส้า ระหว่างภาครัฐเอกชน และแวดวงวิชาการ อีกทั้งคุณภาพแรงงาน หรือคุณภาพผู้คนก็สูงส่ง ผมจึงเชื่อว่าสหภาพยุโรปจะสามารถประคองตัวและฟันฝ่าการถดถอยออกไปได้
เพียงแต่ว่า ระยะเวลาในการฟื้นตัวนั้นจะเป็นเมื่อไหร่เท่านั้นเอง
ส่วนในเรื่องความรับผิดชอบต่อประชาคมโลกนั้นสหภาพยุโรปเป็นแบบอย่างของสังคมเสรีประชาธิปไตย และเป็นผู้ผลักดันทั้งการเปิดเสรีทางความคิด และการเปิดเสรีของการดำรงชีวิต อันได้แก่ การยึดมั่นในคุณค่า และค่านิยมว่าด้วยสิทธิเสรีภาพ แต่เมื่อช่วงหนึ่งสหภาพยุโรปต้องใช้เวลากับการขยายสมาชิก และกระชับความรวมตัวเพื่อเป็นเอกภาพ และในขณะเดียวกัน ก็ต้องเผชิญกับอุดมการณ์ฝ่ายขวาชาตินิยมสุดโต่ง ก็ทำให้บทบาทในการส่งเสริมและเสริมสร้างสังคมเสรีประชาธิปไตยในประชาคมโลกก็ถดถอยลงไป แต่มาบัดนี้สหภาพยุโรปได้เริ่มตระหนักว่าหากไม่หวนกลับมาผลักดันนโยบายต่างประเทศที่ประกอบด้วยเรื่องการส่งเสริมเสรีประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนแล้ว นอกจากจะทำให้ความน่าเชื่อถือและอิทธิพลของสหภาพยุโรปถดถอยลงแล้ว ยังเป็นการเปิดทางให้เหล่าประเทศเผด็จการนิยมในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเผด็จการองค์บุคคล หรือเผด็จการพรรคเดียว ได้ขยายพื้นที่และอิทธิพล ก็จะทำให้สังคมเสรีประชาธิปไตยหดตัวลง และในที่สุดภยันตรายก็จะมาถึงสหภาพยุโรป ฉะนั้นจึงเป็นความรับผิดชอบของสหภาพยุโรปที่จะยืนหยัดกับค่านิยมเสรีประชาธิปไตยทั้งในบ้านตนเอง และนอกบ้านในโลกกว้าง สหภาพยุโรปจึงมีภาระหน้าที่ในการที่จะช่วยพยุงและขับเคลื่อนเสรีประชาธิปไตยในสังคมต่างๆ ของประชาคมโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และต้องกระทำด้วยความแข็งขัน และฉะนั้นสหภาพยุโรปจึงต้องร่วมมือกับประเทศเสรีประชาธิปไตยโดยเฉพาะทั้งในทวีปอเมริกาเหนือ และในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเพื่อจรรโลงสิทธิเสรีภาพของมวลมนุษย์เป็นสำคัญ
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี