ขณะนี้ เรากำลังอยู่ในช่วงการเริ่มต้นของปี พ.ศ. 2564 (ค.ศ. 2021)ซึ่งมีหลายเรื่องหลายเหตุการณ์ที่เราควรต้องจับตามอง โดยเฉพาะเมื่อประเทศไทยมีพันธกรณีในฐานะสมาชิกประชาคมโลกผ่านองค์การระหว่างประเทศต่างๆ เช่น องค์การสหประชาชาติ องค์การการค้าระหว่างประเทศ หรือองค์การอนามัยโลก รวมทั้งยุคสมัยโลกาภิวัตน์นี้ ทุกชนชาติต่างมีการโยงใยและพึ่งพาอาศัยกัน โดยไม่ว่าเรื่องหรือเหตุการณ์หนึ่งใด ก็อาจสามารถจะแผ่กระจาย ต่อเนื่อง ส่งผลกระทบกันไปทั่วโลก ทั้งทางตรงและอ้อม หรือนัยหนึ่ง เรื่องนั้นก็อาจจะมาถึงตัวเราแต่ละคนได้ทุกเมื่อ เราทุกคนจึงต้องมีความรู้ให้ทันต่อสถานการณ์ไว้ เพื่อที่จะสามารถเตรียมตัวที่จะเผชิญหรือตั้งรับ หรือร่วมแรงร่วมใจกันแก้ไข หรือเสริมสร้างตามแต่กรณี
แม้แวดวงต่างๆ ทั้งวิชาการ สื่อ การเมือง โซเชียลมีเดีย ต่างก็มีประเด็นปัญหาของโลกที่น่าจับตามองในปี พ.ศ. 2564 นี้แตกต่างกันบ้าง แต่หัวข้อส่วนใหญ่ก็จัดได้ว่าคล้ายคลึงกัน หรือมองประเด็นปัญหาของโลกคล้ายๆ กัน ซึ่งผมได้ติดตามอยู่ตลอด และก็ขอประมวลมานำเสนอเพื่อประกอบองค์ความรู้ และเสริมสร้างความเข้าอกเข้าใจ เพื่อที่จะได้เตรียมการรับมือกันล่วงหน้า ซึ่งโดยตัวเราเองแต่ละคนอาจจะไม่มีพละกำลังที่จะแก้ไข แต่เราก็สามารถรวมตัวกันเพื่อบอกกล่าว เรียกร้อง แนะนำ สั่งการให้บรรดาตัวแทนของเรา ทั้งฝ่ายข้าราชการและฝ่ายการเมืองรับไปพิจารณา เพื่อดำเนินการได้ หรือไม่ก็เป็นการทักท้วง ติเพื่อก่อได้เพื่อความผาสุกของชาติเรา และมวลมนุษย์โลก
เริ่มต้นกันด้วย
1. การประชุม COP 28 ว่าด้วยโลกร้อน ที่เมืองกลาสโกว์สกอตแลนด์ ในเครือสหราชอาณาจักร (อังกฤษ) ซึ่งถือว่าเป็นการประชุมระดับโลกที่สำคัญ เพื่อมาทบทวนคำมั่นสัญญาและพันธกรณีที่ประเทศต่างๆ ได้กระทำไว้เมื่อ 5 ปีที่แล้วที่กรุงปารีส ในการประชุมสุดยอดเรื่องโลกร้อนว่า จะร่วมมือกันและจัดทำแผนเฉพาะประเทศ เพื่อมิให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นไม่เกิน 1.5-2.0 องศา โดยก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ถอนตัวออกไปแต่เมื่อสหรัฐฯ ได้ ประธานาธิบดีคนใหม่ คือ นายโจ ไบเดน มาแทนที่ก็ต้องจับตาดูกันว่าทีท่าสหรัฐฯ จะเป็นอย่างไรต่อไปในเรื่องลดโลกร้อน
2. เมื่อพูดถึงว่าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ก็ต้องพูดถึงเรื่องอาวุธนิวเคลียร์ ในปี 2564 นี้ว่าสหรัฐฯ จะเลือกดำเนินการอย่างไรในการยุติมิให้อิหร่าน และเกาหลีเหนือ ผลิตอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธระยะกลางและไกล ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการจำกัดการแพร่ขยายของอาวุธนิวเคลียร์
นอกจากนั้น ประเด็นการลดจำนวนอาวุธนิวเคลียร์ของ7 ประเทศที่ครอบครองอยู่ (สหรัฐฯ รัสเซีย จีน อังกฤษ ฝรั่งเศส อินเดีย และปากีสถาน) ก็ยังค้างคาอยู่ และโลกก็ยังมีเป้าหมายที่จะห้ามไม่ให้มีหรือขจัดอาวุธนิวเคลียร์ให้หมดไป
3. ประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ซึ่งมิได้จำกัดอยู่แค่ที่เรื่องข้อพิพาททางการค้าเท่านั้น หากแต่เป็นการแข่งขันชิงดีชิงเด่นกันในเรื่องการเป็นเจ้าโลก ซึ่งสหรัฐฯครอบครองมาตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 จนสามารถปราบสหภาพโซเวียตคอมมิวนิสต์รัสเซียจนแตกพ่ายไป แต่มาบัดนี้ จีนได้ผงาดขึ้นมาเพื่อท้าชิงกับสหรัฐฯ เรื่องที่น่าจับตาก็คือ ทั้งคู่จะแข่งขันกันแบบสันติวิธี และใฝ่หาจุดร่วมมือ หรือจะเลือกเผชิญหน้าเอาแพ้เอาชนะประหัตประหารกันไปในที่สุด
4. ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะนำพาโลกโดยใช้กรอบการเจรจาแบบพหุภาคี (Multilateral) หรือจะไม่ไยดีแนวคิดนี้แล้วมุ่งหน้าไปคนเดียวแบบเดียวกับอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพราะไม่ว่าอย่างไร สหรัฐอเมริกา ก็ยังถือว่ามีความสำคัญต่อความเป็นไปในโลกอย่างกว้างขวางอยู่ ดังนั้นการเข้าร่วม และนำพาเวทีระหว่างประเทศต่างๆ จึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งในการจรรโลงวิถีทางความมั่นคง และความเจริญก้าวหน้า
ในขณะเดียวกัน ฝ่ายผู้นำจีนชุดปัจจุบันจะยังคงดึงดันที่จะเอาชนะสหรัฐอเมริกา เพื่อเป็นเจ้าโลก และครอบงำโลกให้ได้หรือว่าจะหยุดคิด และตระหนักได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีข้อจำกัดหากมองด้วยหลักหยิน-หยาง (Ying-Yang) เมื่อแรงไป ก็ย่อมได้รับแรงกลับมา เพราะไม่มีชาติใดที่จะยอมให้ชาติอื่นครอบงำ ครอบครองไปได้ตลอด
ขณะที่การเมืองภายในของจีนภายใต้ระบบพรรคเดียวเป็นใหญ่ดูมีเสถียรภาพและความเป็นปึกแผ่น แต่ทางด้านฝ่ายตะวันตก คือสหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา การเมืองภายในกลับดูมีความปั่นป่วนแตกแยก ไร้ความออมชอม โดยรวมระหว่างฝ่ายหัวก้าวหน้า และฝ่ายอนุรักษ์นิยม (หรืออีกมุมหนึ่งฝ่ายนานาชาตินิยม กับฝ่ายชาตินิยม) ซึ่งตราบใดที่ฝ่ายตะวันตกอ่อนแอภายใน หรือกำลังอำนาจต่อรอง อิทธิพล ก็จะอ่อนแอไปด้วย ก็จะเปิดทางให้จีนได้ขยายอิทธิพลและชูโรงสูตรการเมืองของพรรคเดียวเสถียรภาพ และพรรคเดียวท้องอิ่ม เพื่อทดแทนสูตรเสรีนิยมแบบประชาธิปไตยและธุรกิจเอกชนนำพา
5. ส่วนเรื่องโรคระบาดโควิด-19 ก็จะยังอยู่กับโลกต่อไปในช่วงปีนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ประเด็นก็มิใช่เรื่องการมีวัคซีนเพียงพอหรือไม่ หากแต่เป็นเรื่องที่ว่าจะส่งต่อให้ชาวโลกกันอย่างทั่วถึงหรือไม่ต่างหาก เพราะที่ผ่านมาก็ดูแต่ละประเทศต่างคนต่างผลิตและต่างใช้ โดยยังไม่มีระบบกลางของโลกที่จะอำนวยให้ทุกประเทศและทุกชาวโลกได้เข้าถึงในระยะเวลาที่สั้นที่สุด ซึ่งจะทำให้วิกฤติโควิค-19 ยาวนานออกไปอย่างไม่จำเป็น
6. ส่วนเรื่องความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้ผู้คนติดต่อกันได้โดยตรง รวดเร็ว ได้เข้าถึงซึ่งข้อมูลข่าวสารซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นดาบสองคม เพราะมีการล้วง ขโมยข้อมูล เพื่อมิจฉาวาณิชา อีกทั้งก็อาจจะถูกใช้เป็นเครื่องมือของการควบคุมผู้คนให้ไร้สิทธิเสรีภาพได้ ซึ่งก็ต้องควบคู่กันไปกับการควบคุมที่เหมาะสม และไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล
นอกจากนั้น ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์ชีววิทยา บวกเทคโนโลยีสารสนเทศ ก็จะทำให้ความเคลื่อนไหวภายในร่างกายต่างๆ ถูกเจาะติดตาม เก็บเป็นข้อมูล และนำไปใช้เพื่อควบคุม เพื่อรักษาพยาบาล แต่จะก้าวไกลไปจนถึงการจับซึ่งความรู้สึกนึกคิดได้ ก็เท่ากับเป็นการทำลายความเป็นตัวตน และความเป็นเสรีชนของมนุษย์แต่ละคน
ประเด็นปัญหาใหญ่หลังจากนี้ ก็คือเรื่องของศีลธรรมและจริยธรรม ซึ่งก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลต่างๆ รวมทั้งผู้อยู่ในวงการวิทยาศาสตร์มนุษยศาสตร์ เทคโนโลยี ต้องร่วมหารือกันเพื่อกำหนดขอบเขต กฎเกณฑ์ เพื่อป้องกันสิทธิความเป็นมนุษย์ให้มากที่สุด
โดยรวมแล้ว ในปี พ.ศ.2564 นี้ รัฐบาลต่างๆ และองค์การระหว่างประเทศต่างๆ ก็มีการบ้านหนักรอให้แก้ไขอยู่ ซึ่งเราในฐานะประชาชนไทย และพลเมืองโลก ก็ต้องช่วยกันฟันฝ่าไปให้ได้
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี