กรณีผู้สูงอายุหลายราย ถูกกรมบัญชีกลาง ส่งหนังสือไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ดำเนินการเรียกคืนเบี้ยผู้สูงอายุย้อนหลังนานนับ 10 ปี เพราะมีการรับสิทธิประโยชน์ซ้ำซ้อนกับเงินส่วนอื่น ทำให้เกิดการถกเถียงกันขึ้นในสังคม
ส่วนมากต่างเห็นใจผู้สูงอายุ ว่าแก่แล้ว จะหาเงินที่ไหนมาคืนให้ได้ ทำไมทอดเวลายาวนานเป็นสิบๆ ปี แล้วจึงมาเรียกคืน บ้างก็บอกว่า มันเป็นเงินหลวง ยังไงก็ต้องคืน เพราะตอนยื่นขอ ทำไมไม่ตรวจสอบเสียก่อน ว่าตนเองขาดคุณสมบัติ เช่นเดียวกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทำไมไม่ตรวจสอบให้รอบคอบก่อนดำเนินการโอนเงิน
ในเรื่องนี้ ทนายรัชพล ศิริสาคร ทนายความชื่อดัง เจ้าของเพจ “สายตรงกฎหมาย” วิเคราะห์ว่า “เป็นความผิดของทั้ง 2 ฝ่ายครับ ภาครัฐเองก็ควรจะตรวจสอบให้ดีก่อนจะจ่ายเงิน ส่วนคุณยายเอง ก็ต้องตรวจสอบสิทธิด้วย เพราะถ้ารับเงินไปโดยไม่มีสิทธิ ก็ต้องเอาไปคืนหน่วยงานรัฐ การปล่อยให้เวลาล่วงเลยมา อาจเป็นเพราะขาดการตรวจสอบ ถือเป็นความประมาทของทั้ง 2 ฝ่าย ก็อาจทำความเข้าใจตกลงกันขอผ่อนจ่ายได้
ในทางกฎหมาย ถ้าคุณยายเอาเงินไปโดยไม่มีสิทธิ ก็เป็นหน้าที่ของคุณยายที่จะต้องหาเงินมาคืน เพราะส่วนหนึ่งก็ถือว่าเป็นความผิดของคุณยายที่ไปขอรับเงิน โดยไม่ตรวจสอบสิทธิของตนเอง
ในส่วนของความผิด ต้องดูที่เจตนาครับ ถ้าคุณยายมีเจตนาแจ้งความเท็จว่ามีคุณสมบัติ ก็มีความผิดฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน แต่ถ้าคุณยายประมาทไม่อ่านให้ดี อาจจะไม่มีความผิด ต้องดูที่เจตนาเป็นหลักครับ”
“ส่วนหลายคนโทษที่ระบบตรวจสอบไม่ดี การตรวจสอบจะต้องตรวจสอบทั้ง 2 ฝ่าย ตัวคุณยายเองก็ควรตรวจสอบสิทธิของตัวเองด้วย ส่วนการที่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบไม่ดี คุณยายก็สามารถดำเนินคดีเรียกค่าเสียหายกับเจ้าหน้าที่ได้ครับ”
ด้าน ทนายเกิดผล แก้วเกิด ก็ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ค วิเคราะห์เกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่า “ตามที่ปรากฏในข่าว ว่า อบต. แห่งหนึ่งที่บุรีรัมย์ จ่ายเงินเบี้ยคนชราให้คุณยายโดยผิดหลง ซึ่งไม่ใช่ความผิดของคุณยายกรณีนี้ ถือว่ายายได้รับเงินไว้โดยสุจริต ยายต้องคืนเงินให้หลวง เท่าที่มีอยู่ หากไม่มีหรือใช้หมดแล้ว ก็ไม่ต้องคืนก็ได้ เพราะเป็นลาภมิควรได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และศาลฎีกาได้พิพากษาเป็นบรรทัดฐานไว้แล้ว ในคำพิพากษาฎีกาที่ 10850/2559”
เรื่องนี้ ร้อนถึงอาสน์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จนต้องออกมามีแอ๊กชั่นและความเห็นว่า
วันนี้ต้องดูว่า กติกา กฎหมายและกฎระเบียบมีไว้อย่างไร ขั้นตอนวันนี้เป็นเรื่องของการทำงาน ซึ่งตนได้มอบหมายให้ไปพิจารณา การแก้ไขปัญหาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน อาจจะต้องมีการแก้ไขกฎระเบียบอะไรบางอย่าง ซึ่งอยู่ระหว่างการหารืออยู่
“ผมก็ไม่อยากให้ใครเดือดร้อน แต่ถ้าทุกคน รู้ว่าตัวเองทำไม่ถูกก็ยกเลิกเสีย ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดความไม่เป็นธรรมหรือความไม่เท่าเทียมกัน ซึ่งทุกคนก็รู้ แต่ก็มีบางคนที่อาจจะไม่รู้หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ต้องพิจารณากันไปตามความเหมาะสม เรื่องนี้เป็นเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐเพราะฉะนั้นย่อมมีสองด้านเสมอก็ขอให้ทุกคนเข้าใจด้วยเพราะหลายเรื่องก็เช่นเดียวกับกฎหมายทุกตัว เพราะตามบทบัญญัติของกฎหมายได้เขียนไว้ชัดเจนว่า คนไทยทุกคนต้องเคารพกฎหมาย”
อย่างไรก็ตาม ในกรณีของนางบวน ผู้สูงอายุรายแรกที่ปรากฏเป็นข่าวนั้น มีผู้เข้าไปให้การช่วยเหลือแล้ว โดยเมื่อวันที่ 29 ม.ค.ที่ผ่านมา พลตรีชลิต บรรจงปรุ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 21 นครราชสีมา พร้อมด้วย พ.อ.สันติพงศ์ นารี หัวหน้าคลังแสงที่ 5 กองคลังแสง กรมสรรพาวุธทหารบกจังหวัดนครราชสีมา ได้เดินทางมาเยี่ยมให้กำลังใจ พร้อมนำข้าวสารอาหารแห้ง ผ้าห่ม และเงินสดจำนวน 84,400 บาทที่ได้รับบริจาคจากทหารในสังกัด มามอบให้กับ นางบวนโล่ห์สุวรรณ อายุ 89 ปี ที่บ้านสี่เหลี่ยม ต.เจริญสุข อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ เพื่อให้ยายบวนนำเงินจำนวนดังกล่าว ไปชำระเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุคืนให้กับทาง อบต. หลังจากถูก อบต.เรียกเบี้ยผู้สูงอายุคืนย้อนหลัง 10 ปี เนื่องจากกรมบัญชีกลางตรวจสอบย้อนหลัง พบว่า ยายบวน ได้รับเบี้ยผู้สูงอายุซ้ำซ้อนกับบำนาญพิเศษกรณีที่ จ.ส.อ.จักราวุทธโล่ห์สุวรรณ ลูกชาย ซึ่งเป็นทหารสังกัด มทบ.21 นครราชสีมา ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์คลังแสงระเบิด เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2544 ซึ่งได้รับเงินสวัสดิการจากต้นสังกัดมาโดยตลอด จนล่าสุดเมื่อปี 2562 ได้รับเงินเพิ่มเป็นเดือนละ 10,000 บาท จากที่เคยได้รับเดือนละ 5,000 บาท
ซึ่งหลังจากยายได้รับเงินช่วยเหลือจากทางทหาร 84,400 บาท ยายก็ได้มอบเงินดังกล่าวชำระค่าเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุคืนให้กับทาง อบต.ทันที โดยมี นายทินกร วรนุช นายก อบต.เจริญสุข และ ผอ.กองสวัสดิการสังคมฯ เป็นตัวแทนมารับชำระเงินดังกล่าว จากนั้นก็จะไปทำเรื่องเอกสารการคืนเงินให้ถูกต้องตามระเบียบต่อไป
โดยยายบวนพูดทั้งน้ำตาด้วยความตื้นตันดีใจว่า ขอบคุณทหาร มทบ.21 และกองคลังแสง กรมสรรพาวุธ และทหารทุกคนที่นำเงินมาช่วยเหลือจ่ายเบี้ยผู้สูงอายุแทน เพราะลำพังยายเองคงไม่มีปัญญาจะหามาคืนให้ ก็ดีใจมากที่ทหารมาช่วยเหลือรู้สึกสบายใจขึ้น จากก่อนหน้านี้ทั้งตนเอง และลูกๆ ก็เครียดจนนอนไม่หลับ เพราะไม่รู้จะหาเงินที่ไหนมาคืน
ด้าน พลตรีชลิต ผบ. มทบ.21 กล่าวว่า หลังจากรับทราบปัญหาความเดือดร้อนของคุณยายบวน ซึ่งเป็นมารดา ของ จ.ส.อ.จักราวุทธ ผู้ใต้บังคับบัญชาในสังกัด ทางทหารก็มีความห่วงใยและไม่ได้นิ่งนอนใจ ก็ได้ร่วมกันบริจาคเงินภายในหน่วยทหาร แล้ววันนี้ก็ได้นำเงินที่ร่วมกันบริจาคมามอบให้กับคุณยายบวน ที่บ้าน เพื่อให้คุณยายนำเงินจำนวนดังกล่าวไปชำระเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่ถูกทาง อบต.เรียกคืนย้อนหลัง เพื่อเป็นการช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้กับคุณยายและครอบครัว ในฐานะที่เป็นหน่วยงานต้นสังกัด
ขณะที่ สำนักงานสภาทนายความประจำจังหวัดนครศรีธรรมราช ถนนโรงช้าง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช นายลือชา เปี่ยมสุวรรณ กก.บริหารสภาทนายความภาค 8 พร้อมด้วยคณะกรรมการสภาทนายความ
จ.นครศรีธรรมราช ได้แถลงข่าวจากผลการประชุมสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์เมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีมติให้สภาทนายความทั้ง 9 ภาคทั่วประเทศ ออกมาให้ช่วยเหลือประชาชนที่ถูกเรียกคืนเงินผู้สูงอายุจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่างๆ อ้างว่ารับเงินซ้ำซ้อนนั้น เนื่องจากสภาทนายความเห็นว่าประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเรื่องดังกล่าว
ทางสภาทนายความฯ ก็ได้จัดตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อศึกษาข้อมูลดังกล่าวและไปค้นปัญหาข้อกฎหมายมาเพื่อที่จะช่วยเหลือประชาชน ซึ่งจากการไปค้นหากฎหมายมาก็ปรากฏว่า มีคำพิพากษาของศาลฎีกายกฟ้องในกรณีดังกล่าว ที่เรียกเงินดังกล่าวคืนจากประชาชน
โดยศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาที่ 10850/2559 ระหว่างกรมสรรพสามิต โจทก์ น.ส.เสาวภา เชยสุวรรณ์ จำเลย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 406,412 จำเลยไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ ตามกฎหมาย แต่โจทก์จ่ายเงินดังกล่าวให้จำเลยไปโดยหลงผิด จึงเป็นเงินที่จำเลยได้รับไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ และทำให้โจทก์เสียเปรียบอันเป็นสภามิควรได้ หาใช่เป็นเงินที่โจทก์มีสิทธิ์ติดตามเอาคืนได้อย่างเจ้าของทรัพย์สินไม่ และเมื่อได้ความว่าจำเลยได้รับเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญไว้โดยสุจริต และนำไปใช้จ่ายหมดแล้วก่อนที่โจทก์จะเรียกคืน จำเลยจึงไม่ต้องคืนเงินดังกล่าวแก่โจทก์ตาม ป.พ.พ.มาตรา 412
นายลือชากล่าวอีกว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ทางสภาทนายความภาค 8 จึงขอให้ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากเรื่องดังกล่าวขอให้มาพบกับจนท.สภาทนายความประจำจังหวัดของแต่ละจังหวัด เพื่อว่าความสู้คดีให้ฟรีโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
โดยเบื้องต้นทราบว่าในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช และภาค 8 หลายจังหวัด มีประชาชนได้รับความเดือดร้อนถูกเรียกคืนเงินจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลายแห่งแต่ไม่กล้าออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ ก็ขอให้มาพบกับทนายความของเราเพื่อช่วยเหลือว่าความให้ฟรีต่อไป
ด้าน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกระแสข่าวที่มีการเรียกเงินเบี้ยยังชีพจากคนชรา เนื่องจากเป็นผู้มีสิทธิรับเงินบำนาญข้าราชการนั้น ขอชี้แจงว่า ใครก็ตามที่ได้รับบำนาญจากภาครัฐไม่มีสิทธิได้รับเบี้ยผู้สูงอายุ เพราะถือว่าเป็นเงินของภาครัฐตามกฎหมาย ดังนั้น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) จะต้องเข้าไปเจรจาเพื่อขอคืน ซึ่งจะไม่ได้ให้จ่ายเป็นก้อนเดียว แต่จะให้ทยอยคืนเป็นงวดๆ
“ในอนาคตเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาลักษณะนี้เราเตรียมจะเรียกกรมบัญชีกลาง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เข้ามาคุยกันว่า เงินในส่วนที่ผู้สูงอายุควรได้เมื่ออายุ 60 ปีขึ้นไป ไม่ควรนำมาปะปนกับเงินบำนาญที่เกิดจากการสูญเสียญาติพี่น้อง หรือมรดกตกทอด เพราะเงินผู้สูงอายุถือเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่ผู้สูงวัยควรได้รับเฉพาะผู้ที่ไม่ได้อยู่ในระบบหลักประกันหรือรับข้าราชการ ควรแยกออกจากกันให้ชัดเจน”
ผมเห็นด้วยกับรัฐมนตรีว่า ต้องเร่งแก้ปัญหาทั้งระบบ และเงินจากการตายของลูกกับเงินช่วยเหลือผู้สูงอายุ ไม่อาจทดแทนกันได้ ซึ่งปัญหาสวัสดิการผู้สูงอายุนี้ รัฐบาลต้องเร่งทำ เพราะประเทศไทยได้เคลื่อนเข้าสู่สังคมสูงวัยแล้ว
นายยศ วัชระคุปต์ นักวิจัยอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดเผยว่า ในปัจจุบันประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และมีสัดส่วนจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นทุกปี ผลของการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุจะยิ่งทำให้รัฐต้องจัดหาสวัสดิการเพิ่มเติม ทั้งในรูปของปริมาณและคุณภาพเพื่อรองรับจำนวนผู้สูงอายุที่มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งทำให้รัฐมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นตาม จึงจำเป็นต้องเตรียมความพร้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องภาระค่าใช้จ่าย และแหล่งเงินทุนสำหรับการจัดหาสวัสดิการผู้สูงอายุที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ตลอดจนการหาแนวร่วมที่จะเข้ามาช่วยในด้านสวัสดิการผู้สูงอายุ
นายยศกล่าวว่า ได้รับมอบหมายจากสำนักส่งเสริมและพิทักษ์ผู้สูงอายุ สำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส และผู้สูงอายุ (สท.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ทำการศึกษาเรื่อง การประมาณการงบประมาณสำหรับผู้สูงอายุและแหล่งที่มาของเงิน พบว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่อยากอยู่กับครอบครัวจึงควรจัดสวัสดิการที่เอื้อให้อยู่กับครอบครัวได้โดยรัฐดูแลผู้สูงอายุที่ไม่มีครอบครัว ไม่อยากอยู่หรือครอบครัวไม่พร้อม การจัดสวัสดิการผู้สูงอายุควรมีการดูแลทั้งในด้านจิตใจและร่างกาย ในภาพรวมแม้สวัสดิการที่ผู้สูงอายุได้รับจะดีขึ้นจากการแจกเบี้ยยังชีพ และการรักษาพยาบาล แต่ยังมีปัญหาความเหลื่อมล้ำซ้ำซ้อนของการได้รับสวัสดิการ ซึ่งต้องแก้ไขและกระจายให้เกิดความเสมอภาคและขยายประโยชน์เพิ่มเติมให้กับกลุ่มผู้สูงอายุที่ยากจนและ/หรืออยู่ในภาวะพึ่งพิงให้สามารถดำรงชีพขั้นพื้นฐานได้ โดยปัจจุบันมีผู้สูงอายุในภาวะพึ่งพิงราว 1-1.4 แสนคน
“การศึกษาได้เสนอชุดทางเลือกของสวัสดิการผู้สูงอายุเพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการผู้สูงอายุได้มากขึ้น อันได้แก่ ชุดสวัสดิการรูปแบบที่ 1 ตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐาน ประกอบด้วย เบี้ยยังชีพสูงอายุ สวัสดิการหลักประกันสังคม (บำเหน็จ บำนาญปกติ และ กบข.ประกันสังคมกรณีชราภาพ) สถานสงเคราะห์คนชรา เงินสงเคราะห์จัดการศพ กองทุนผู้สูงอายุ และกองทุนการออมแห่งชาติ
ชุดสวัสดิการรูปแบบที่ 2 ปรับเพิ่มจากชุดแรก โดยเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่ยากจน (ให้เท่ากับเส้นความยากจน) และ/หรืออยู่ในภาวะพึ่งพิงประมาณเดือนละ 4,085 บาท
ชุดสวัสดิการรูปแบบที่ 3 เพิ่มระบบสวัสดิการที่มีภาคีส่วนร่วมอื่นๆ เช่น กองทุนยุวชนจิตอาสา และการส่งเสริมสังคมสวัสดิการและส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม” นายยศ กล่าว
ผลการศึกษายังได้เสนอแนวทางการสร้างความยั่งยืนของการจัดสวัสดิการ ให้แก่ ผู้สูงอายุ จากความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจ และนโยบายประชานิยมหรือโครงการเร่งด่วนของรัฐบาล ด้วยมาตรการ 3 แนวทาง คือ
1.มาตรการในการหารายได้มารองรับภาระงบประมาณที่เพิ่มขึ้นทุกๆ ปี ผ่านการปฏิรูประบบภาษี ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่ภาครัฐแล้ว ยังช่วยสร้างความเป็นธรรมด้านภาษีได้อีกด้วย
2.การปรับปรุงการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
และ 3.การสร้างภาคีสังคมนอกเหนือจากภาครัฐให้เข้ามามีบทบาทในการให้สวัสดิการผู้สูงอายุอันเป็นการแบ่งเบาภาระให้กับภาครัฐได้
การแก้ปัญหาทั้งระบบเช่นนี้ น่าจะดีกว่าลูบหน้าปะจมูก แก้ปัญหาแบบ “สังคมสงเคราะห์” กันเป็นรายๆ ไปแล้วรายอื่นๆ ที่ไม่เป็นข่าวล่ะ? จะได้รับการช่วยเหลือและแก้ไขหรือไม่
พอกันทีสิ่งที่เรียกว่า “แบบไทยๆ” เหมือนที่ไปแก้ปัญหาการเรียนออนไลน์ให้แก่เด็กนักเรียนรายหนึ่งที่นั่งกางร่มเรียนกลางแดดจ้าที่หัวหิน เพราะเป็นจุดที่มีสัญญาณอินเตอร์เนตชัด เด็กอีกหลายคนได้รับการแก้ปัญหาเหมือนๆ กันไหม หรือในกรณีนี้ ผู้สูงอายุอีกหลายคน เช่น ที่จังหวัดนครราชสีมาที่ถูกเรียกเงินคืนก็ปาเข้าไปตั้ง 600 กว่าคนแล้ว
สงเคราะห์กันทีละรายไหวหรือ? คิดแก้ไขทั้งระบบจะดีกว่า!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี