ผมชอบการ์ตูน “บัญชา คามิน” มาก เขาล้อ “การเป็นอีแอบ”ของตัวละครตามภาพ อาจเป็นอารมณ์ขันที่เจือความขื่นโดยเฉพาะในโลกของความเป็นจริงที่เพิ่งเกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรา
การชุมนุมเมื่อ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา กำลังเป็นที่ถกเถียงกันว่า ตำรวจใช้ความรุนแรง หรือม็อบใช้ความถ่อย มีดาราคนดังพาเหรดกันออกมาแสดงความคิดเห็นมากมาย มีสื่อมวลชนคนดังประกาศจะแฉอ้ายอีดาราเหล่านี้ สิ่งที่เห็นเป็นเพียงการ “ย้ายการจลาจล” จากบนถนน มาสู่พื้นที่ข่าวสารอีกระนาบหนึ่ง
เรื่องนี้ ควรบริหารจัดการอย่างไรดี?
1) เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 2 มี.ค.2564 ที่พรรคเพื่อไทย(พท.) นพ.ทศพร เสรีรักษ์ อดีตสส.แพร่ พรรคพท. แถลงกรณีมีผู้บาดเจ็บจากการชุมนุมเมื่อวันที่ 28 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยมีผู้ได้รับบาดเจ็บจากการชุมนุมมาร่วมแถลงข่าวด้วย
นพ.ทศพร กล่าวว่า ตนในฐานะที่อยู่ในเหตุการณ์ เห็นว่ามีการใช้ความรุนแรงกันหลายครั้ง แม้กระทั่งตอนที่ประชาชนกำลังทยอยเดินกลับ ตนก็พยายามทำให้เหตุการณ์สงบหลายครั้ง แต่กลับมีความรุนแรงเกิดขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้คุณเก่งที่มาร่วมแถลงกับตนวันนี้ ก็เป็นคนหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บจากการใช้ความรุนแรงในวันดังกล่าว โดยโดนยิงที่ศีรษะ ขณะที่ตนก็โดนแก๊สน้ำตาเข้าไปเต็มๆ เช่นกัน
นพ.ทศพรกล่าวต่อว่า ขอฝากเตือนสติไปยังตำรวจว่าอย่าใช้ความรุนแรงกับประชาชน เพราะประชาชนไปร่วมชุมนุมอย่างสันติ หากเจอใครที่ใช้ความรุนแรงหรืออาวุธ ตำรวจก็สามารถมาควบคุมตัวไปดำเนินคดีได้อยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ตนได้ดูคลิปมีคนที่เมื่อขว้างปาระเบิดหรือวัตถุแล้วก็หลบไปอยู่หลังแนวตำรวจ หรือแนวประชาชน เหมือนมีความพยายามที่ต้องการจุดชนวน เหตุใดตำรวจจึงปล่อยคนลักษณะนี้ไว้ไม่ดำเนินการ หรือเพื่อเป็นข้ออ้างในการใช้ความรุนแรงจัดการกับประชาชน
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการดำเนินการทางกฎหมายต่อไปหรือไม่ นพ.ทศพรกล่าวว่า เรากำลังปรึกษากับฝ่ายกฎหมายของพรรค ซึ่งคงต้องดำเนินการเหมือนครั้งที่สลายการชุมนุมหน้าสภา หรือการใช้น้ำผสมแก๊สน้ำตาสลายการชุมนุม
เมื่อถามว่า มองว่าการชุมนุมควรมีแกนนำที่ชัดเจนหรือไม่ นพ.ทศพร กล่าวว่า สำหรับการชุมนุมครั้งต่อไป ตนคิดว่าควรมีแกนนำที่ชัดเจน และจัดการทุกอย่างให้เป็นระบบ ทั้งนี้ ตำรวจไม่ใช่คู่ขัดแย้งกับประชาชน เพราะวันนี้ประชาชนขัดแย้งกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ประชาชนเพียงต้องการรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ท่านต้องอำนวยความสะดวกเรื่องการจัดการจราจร และป้องกันไม่ให้เกิดมือที่ 3 ไม่ใช่มาทำหน้าที่สลายการชุมนุม
2) เมื่อ 1 มี.ค. 2564 - นางสาวเบญจา แสงจันทร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า จากการเข้าร่วมสังเกตการณ์การชุมนุมเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ขอยืนยันว่า การชุมนุมเมื่อ 28 ก.พ. 2564 เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพปกติตามระบอบประชาธิปไตยที่สามารถทำได้ เพราะเป็นเพียงการแสดงออกเพื่อตั้งคำถามถึงกรณีบ้านพักของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่อยู่ในค่ายทหารซึ่งเป็นการรับประโยชน์อื่นใดที่ผิดกฎหมาย ป.ป.ช. และบังคับใช้กับนักการเมืองทุกคน แต่ทำไมจึงยกเว้นสำหรับนายกรัฐมนตรีคนนี้
นอกจากนี้ พวกเขายังมีคำถามถึงค่าน้ำค่าไฟที่มาจากภาษีประชาชน และยังมีคำถามว่าเหตุใดบ้านของนายกรัฐมนตรีจึงสามารถไปตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานได้ สมควรย้ายออกมาหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพวกเขาจะมีคำถามใดสิ่งที่คนเป็นนายกรัฐมนตรีควรทำคือการให้คำตอบด้วยเหตุผล ไม่ใช้การล้อมรั้วลวดหนามและส่งกองกำลังมาสลาย ซึ่งในเรื่องนี้ ตั้งแต่มีการเปิดประเด็นในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พวกเขาก็ยังไม่เคยได้รับคำชี้แจงที่ครบถ้วนจากนายกรัฐมนตรีเลย
เป็นเรื่องที่น่าเสียใจที่การชุมนุมของประชาชนซึ่งเป็นการแสดงออกตามปกติกลับจบลงด้วยการใช้กำลังสลายการชุมนุม ซึ่งตนและพรรคก้าวไกลยืนยันว่า ไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงไม่ว่ามาจากฝ่ายใด และเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยจะต้องยินยอมเปิดพื้นที่ให้ทุกคนทุกฝ่ายสามารถแสดงออก และสามารถพูดคุยในประเด็นต่างๆ รวมถึงประเด็นที่อ่อนไหวได้อย่างสันติ
อย่างไรก็ตาม ต่อกรณีที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ขอเรียกร้องไปยังเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมดูแลสถานการณ์ให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยสติและมีเหตุผล ปฏิบัติโดยยึดหลักการควบคุมการชุมนุมสากลอย่างเคร่งครัด โดยเริ่มจากมาตรการเบาไปหาหนักไม่ใช่การกระทำแบบเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ ซึ่งปรากฏชัดว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยใช้ความรุนแรงเกินสัดส่วนการควบคุมสถานการณ์ ไม่ว่าการเข้าไปลากคนเจ็บมาจากหน่วยพยาบาล ซึ่งไม่มีใครทำกันแม้กระทั่งในยามสงคราม การใช้แก๊สน้ำตาและยิงกระสุนยางใส่ผู้ชุมนุมโดยตรง ซึ่งอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ รวมถึงการเข้าไปทำร้ายไล่ล่าผู้ชุมนุมอย่างป่าเถื่อนเสมือนเป็นอริราชศัตรู ปฏิบัติการหลายอย่างยังดำเนินไปอย่างไร้มนุษยธรรม
“ในส่วนตัวจึงขอประณามการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ และเรียกร้องไปยังนายกรัฐมนตรีให้ตระหนักถึงต้นเหตุของปัญหา ซึ่งก็คือตัวท่านเองให้รับผิดชอบต่อทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนสถานการณ์จะบานปลายไปมากกว่านี้ ทั้งนี้ ตนและพรรคก้าวไกลจะมีการติดตามตรวจสอบการละเมิดสิทธิต่างๆ เพื่อดำเนินการไปตามช่องทางต่างๆ ต่อไป”
สส.พรรคก้าวไกล กล่าวว่าขอยืนยันอีกครั้งว่า ทุกตารางนิ้วของกองทัพมาจากภาษีของประชาชน ประชาชนจึงควรจะมีสิทธิโดยชอบในการตรวจสอบได้ แต่ที่ผ่านมาอย่าว่าแต่ผู้ชุมนุม แม้กระทั่ง สส.เองก็ยังทำหน้าที่นี้ได้ด้วยความลำบาก หรือแทบไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบกองทัพได้เลย จึงถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยจะต้องตอบตัวเองให้ชัดว่าจะปล่อยให้กองทัพกลายเป็นแดนสนธยาแบบนี้ต่อไปหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนพื้นที่กองทัพให้กลายเป็นเขตพระราชฐาน จะยิ่งทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกยกเป็นเกราะกำบังให้แก่เรื่องที่ลี้ลับดำมืด จนยากจะตรวจสอบมากขึ้นไปอีก การกระทำเช่นนี้มีแต่จะยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับประชาชนแย่ลง ทั้งนี้ การรักษาไว้ซึ่งพระเกียรติเป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะเมื่อควบตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมด้วยแล้ว จึงยิ่งไม่บังควรอย่างยิ่งที่จะทำให้เกิดภาพแบบนี้ต่อสถาบันฯ
3) อยากถามทั้งสองคนนี้ว่า เมื่ออ้างว่าอยู่ในเหตุการณ์แล้ว ได้เห็น “ความรุนแรง” เฉพาะที่เกิดจากฝั่งเจ้าหน้าที่เท่านั้นหรือครับ ทางฝั่งผู้ชุมนุมมิได้กระทำการรุนแรงยั่วยุ ไร้การจัดการเลย ใช่ไหมครับ มาแบบดีๆ ถูกต้องมีคนรับผิดชอบ ใช่ไหมครับ แล้วมาถูกกระทำรุนแรง ป่าเถื่อน จากเจ้าหน้าที่ตำรวจเท่านั้นเอง ใช่ไหมครับ
4) เรื่องนี้ควรได้รับการตรวจสอบอย่างเป็นกิจจะลักษณะ จะได้ไปตอแหลกันไปในทุกๆ ฝั่ง จึงเห็นดีด้วย หากจะมีการดำเนินการตามกฎหมาย ในกรณีที่กล่าวหาว่า การสลายการชุมนุมไม่เป็นไปตามหลักสากล และเกินสัดส่วนเมื่อเทียบกับเหตุที่เกิด โดยจะเป็นการดำเนินคดีก็ได้ ก็ทำเสีย จะร้องกรรมาธิการทั้งของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาให้มาตรวจสอบก็ทำเสีย จะไปร้องต่อ ป.ป.ช.ว่าเจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจโดยมิชอบก็ทำเสีย จะไปร้องกรรมการสิทธิมนุษยชนก็ทำเสีย จะตั้งกระทู้ถามในสภา หรือจะทำอย่างไรก็ทำ เพื่อให้“การตรวจสอบจริง” เกิดขึ้นให้ได้ เพื่อหยุดการพูดแบบ“เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น” จากทุกๆ ฝ่าย
5) เหตุการณ์นี้ ชวนให้นึกถึง คำอธิบายของอาจารย์แก้วสรร อติโพธิ เมื่อครั้งรวบรวมรายชื่อศิษย์เก่า เพื่อขอให้ธรรมศาสตร์ปฏิเสธการใช้พื้นที่เพื่อการชุมนุม ด้วยเหตุผลว่า มีการปลุกปั่นคนโดยใช้โซเชียลมีเดีย คนบ้าคลั่งได้ที่ แล้วก็เอามวลชนเหล่านี้มาเทใส่ม็อบ เพื่อให้เกิดการปะทะหรือเกิดเหตุที่ไม่อาจควบคุมได้ นั่นรวมถึงสภาพที่เกิด ตรงกับนิยามของคำว่า “การจลาจล” อย่างชัดเจน
“การจลาจล เป็นรูปแบบหนึ่งของการก่อความไม่สงบต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทรัพย์สินหรือประชาชน ซึ่งมีลักษณะเป็นการปรากฏตัวออกมาทันใดของกลุ่มคนที่ไม่มีการจัดระเบียบและหุนหันพลันแล่นที่จะใช้ความรุนแรง ถึงแม้ว่าอาจมีคนหรือกลุ่มคนพยายามที่จะนำหรือควบคุมการจลาจล แต่ส่วนใหญ่แล้วการจลาจลมักไร้ระเบียบเป็นธรรมดาและแสดงพฤติกรรมฝูง”
6) หากจะปฏิเสธความรุนแรง ต้องปฏิเสธทุกกรณี จากทุกๆ ฝ่าย ไม่ใช่เลือกปกป้องฝ่ายที่ตัวเองเห็นด้วย และตำหนิประณามฝ่ายที่ตนเองเห็นต่าง โดยเฉพาะ “การจัดตั้งมวลชนที่ไร้ความรับผิดชอบ” ไม่ควรมีใครเห็นดีเห็นงามด้วย และควรช่วยกันเตือนประชาชนว่าอย่าเข้าร่วมการชุมนุมที่เริ่มต้นจากการทำผิดกฎหมาย คือ ไม่มีผู้รับผิดชอบแสดงตน ไม่ขออนุญาต ไม่มีมาตรการควบคุมฝูงชน เพราะไม่รู้ว่าใครจะเข้ามาก่อการอะไรให้รุนแรงและบานปลายต่อไป
7) ตำรวจควรประสานกับสื่อมวลชน ทุกครั้งที่จะมีปฏิบัติการที่เปิดเผย เพื่อให้สื่อมวลชนได้เป็นคนกลาง เป็นพยานว่าดำเนินการตามขั้นตอนทุกประการ เหมือนสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เข้าสลายการชุมนุมที่แยกดินแดงเมื่อปี 2552 เพื่อให้ “สงครามข่าวสาร” ของอีกฝ่าย ถูกหักล้างอย่างเป็นระบบ
สำคัญที่สุด คือ หยุดสร้างความเกลียดชัง หยุดอคติ นำเรื่องนี้เข้าสู่การตรวจสอบ และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายมีความรับผิดชอบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ของทางราชการ เสียตั้งแต่ต้น
หยุดการก่อจลาจล แล้วรอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ทางการเมืองได้แล้ว ไอ้อีที่เป็น “อีแอบ” ทุกตัว!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี