ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ กลุ่มคนผู้มีอำนาจมีอิทธิพลสูงสุด มักจะเป็นพวกนักรบ หรือไม่ก็ผู้ทำพิธีกรรมทางศาสนา เพราะตามความเชื่อแต่โบร่ำโบราณแล้ว ผู้เป็น “นักบวช” คือเป็นกลุ่มบุคคลที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างผู้สร้างโลก ผู้เป็นพระเจ้า กับผู้คนพลเมืองทั้งหลายทั้งปวง โดยจัดด้วยว่าเป็นผู้มีความรู้ สามารถตีความคำสั่งสอนและกำกับดูแลความเชื่อถือต่างๆ ได้ อีกทั้งผู้ครองอำนาจรัฐใดก็มักจะต้องได้รับความเห็นชอบ หรืออย่างน้อยก็ได้รับการปลุกเสกจากกลุ่มผู้นำทางศาสนาก่อนด้วย เท่ากับว่ากลุ่มนี้มีอำนาจอยู่เหนือกลุ่มกษัตริย์หรือนักรบทั้งหลาย
โดยผู้นำสังคมในหลายๆ อารยธรรมและระบบความเชื่อถือ สามารถควบทั้งตำแหน่งผู้นำทางการปกครอง (หรือทางการเมือง) ควบคู่ไปกับการเป็นผู้นำทางศาสนาด้วย เช่น ในทางฝ่ายคริสต์ สันตะปาปา แห่งสำนักวาติกัน ในบริเวณกรุงโรมก็เป็นใหญ่สุดทางศาสนา แล้วยังมีบทบาททางการเมืองและเศรษฐกิจการค้า ขณะที่ทางฝ่ายอิสลาม ซึ่งเคยมีระบบเคาะลีฟะฮ์ ที่ผู้นำเป็นทั้งผู้ปกครองประเทศ และผู้ปกครองทางศาสนา การณ์วันนี้ก็มีแบบอย่างอยู่ที่ประเทศอิหร่าน ที่ผู้นำประเทศควบตำแหน่งทั้งองค์ประมุขทางการเมืองและศาสนา (อิสลาม นิกายชีอะห์) และกลุ่มการเมืองอิสลาม เช่น พวกอัล-เคดา ภราดรภาพมุสลิม และไอซิส ที่ประสงค์จะรื้อฟื้นระบบเคาะลีฟะฮ์ หรือการควบการเป็นผู้นำทางการเมืองและศาสนา ส่วนทางด้านพุทธศาสนาก็มีทางฝ่ายมหายานของทิเบต ที่องค์ดาไล ลามะ เป็นผู้ปกครองทั้งโลกการเมือง และโลกธรรม
นอกจากนั้น หลายประเทศทั่วโลกได้มีการนำเอาคำสั่งสอนทางศาสนาบางส่วนหรือทั้งหมด มาใช้เป็นกฎหมายของบ้านเมือง
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว โดยเมื่อเป็นองค์กรศาสนาที่ให้ความรู้ และการฝึกสอนทางธรรมเพื่อการดำรงชีวิตที่ดีงาม จึงไม่มีเหตุผลใดที่ฝ่ายบ้านเมืองจะเข้ามายุ่งเกี่ยว แถมยังจะได้รับประโยชน์จากการเป็นลูกบ้านที่ดีของประชาชนพลเมืองด้วยหลักธรรมอีกด้วย
ในประเทศไทยเรา ก็เห็นการพัวพันมากมายระหว่างรัฐกับศาสนา ซึ่งก็คงจะถึงเวลาที่จะได้มีการเสวนาทบทวนกันเพื่อแยกศาสนาออกจากการบ้านการเมือง โดยเฉพาะการที่ฝ่ายรัฐหรือบ้านเมืองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการบริหารจัดการของฝ่ายศาสนา โดยเฉพาะพุทธศาสนา ซึ่งควรปล่อยให้เป็นเรื่องของคณะสงฆ์ที่จะว่ากันไปเอง แต่ทั้งนี้ภาครัฐก็คงต้องมีบทบาทเกี่ยวข้อง เช่น เมื่อมีการขัดแย้งกันภายในวงการศาสนา หรือกรณีที่มีความกระทบกระทั่งกันระหว่างฝ่ายศาสนากับฝ่ายสังคม
นอกจากบทบาทในเรื่องการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแล้ว ทางด้านฝ่ายการเมืองการปกครองก็ส่งเสริมให้มีการอยู่ร่วมกันของพหุวัฒนธรรมและความเชื่อถือ เพื่อให้เกิดความสามัคคีสมานฉันท์
ในหมู่ศาสนาเองก็ต้องมีการชำระคำสั่งสอนและการบริหารจัดการเป็นระยะๆ เพื่อความถูกต้องยั่งยืนและความโปร่งใส เป็นที่เชื่อถือ
เมื่อใดที่ฝ่ายรัฐเข้าไปแทรกแซง หรือทำเองเรื่องศาสนาให้เข้ามาอยู่ในการบริหารราชการแล้ว ก็จะทำให้เกิดความสับสน และทำให้ศาสนากลายเป็นเรื่องการเมือง หรือการเมืองต้องอยู่ในอาณัติของศาสนา
ซึ่งในโลก ณ วันนี้ ก็เห็นๆ ความขัดแย้งกันอย่างกว้างขวาง ก็เป็นเรื่องที่จะต้องแก้ไขกันและต้องร่วมมือระหว่างประเทศกันด้วย มิใช่แค่ภายในแต่ละประเทศนั้นๆ เพราะความเชื่อถือหนึ่งใดมักข้ามเขตแดน ก็มีความเชื่อมโยงต่อเนื่อง และกระทบกระทั่งกัน
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี