“..พม่ามองกลุ่มชาติพันธุ์เหมือนข่าตะไคร้ที่เอามาใส่ต้มยำ พอปรุงเสร็จก็เขี่ยทิ้ง..” วินมิตร โยสาละวิน ผู้สื่อข่าวชาวพม่ากล่าวกับ “แนวหน้า”
“..70 ปีพอแล้วกับการถูกพม่าหลอก..”โฆษกกองทัพเอกราชคะฉิ่น (KIA) บอกกับผู้เขียนทางโทรศัพท์ เขากล่าวว่าครั้งนี้คะฉิ่นจริงจังมากสำหรับการต่อสู้เพื่อสหพันธรัฐพม่า (Federation)
“...วันนี้การสู้รบยังไม่รุนแรงแต่ผมมั่นใจว่าในไม่ช้าจะกลายเป็นสงคราม...เราและพันธมิตรในกลุ่มชาติพันธุ์ต่อสู้เพื่อ federation มานานและกว่า 70 ปีแล้วที่ถูกพม่าหลอกใช้” โฆษก KIA กล่าว
แหล่งข่าวในกลุ่มชาติพันธุ์กล่าวถึงเหตุการณ์สำคัญ 2 เรื่อง
1.สมัยกอบกู้เอกราชจากอังกฤษ พม่าดึงชนกลุ่มน้อยเข้าร่วมเซ็นสัญญาปันหลง (ปางหลวง) หลังได้รับเอกราชแล้ว สัญญาด้วยวาจาว่าปกครองระบอบสหพันธรัฐ และหลังจากได้รับเอกราช 10 ปี ถ้ากลุ่มชาติพันธุ์ไม่พอใจรวมชาติกับพม่าก็แบ่งเป็นประเทศของแต่ละชาติพันธุ์ได้ แต่นายพลเนวิน ยึดอำนาจได้ในปี 2505 แล้ว กลับลืมสัญญาปันหลง ชนกลุ่มน้อยไม่พอใจจับอาวุธต่อสู้มา 70 ปีแล้ว
2.หลังการเลือกตั้ง 1990 นางออง ซาน ซู จี ได้ตั้งคณะกรรมการตัวแทนรัฐสภาขึ้น ดึงชนกลุ่มน้อยเข้าร่วมด้วย นางซู จี ถูกกักตัวอยู่ในบ้าน แต่ชนกลุ่มน้อย
หลายคนติดคุก 40-50 ปี เพราะร่วมขบวนการกับนาง..ตอนหลังได้ออกมานิรโทษกรรม
ปี 2015 ชนกลุ่มน้อยไม่อยากให้มีเลือกตั้งในรัฐของชนกลุ่มน้อย แต่นางออง ซาน ซู จี คะยั้นคะยอขอให้เราร่วมเลือกตั้ง หลังจากนางออง ซาน ซู จี ได้รับชัยชนะก็ไม่ชวนชนกลุ่มน้อยเข้าร่วมเป็นรัฐบาล
นอกจากนั้นการร่างรัฐธรรมนูญ 2008 ทหารพม่าดึงชนกลุ่มน้อยเข้าร่วม แต่ก็ร่างตามใจชอบของทหารพม่า
“เวลานี้พม่าเจอศึกสองด้านคือในเมืองทหารพม่าทำสงครามกลางเมืองกับนางออง ซาน ซู จี ทำให้มีคนตายไปแล้วนับร้อยคนตั้งแต่ 1 ก.พ. เป็นต้นมา ในชนบทป่าเขาพม่ารบกับเรากลุ่มพันมิตรกลุ่มชาติพันธุ์..” แหล่งข่าวในกลุ่มชาติพันธุ์กองทัพเอกราชคะฉิ่น KIA กล่าว “นี้เป็นโอกาสทองของการต่อสู้เพื่อการปกครองระบอบ Federation..”
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวในกลุ่มชาติพันธุ์กล่าวว่า “ว้า” ซึ่งมีกองกำลังติดอาวุธที่เข้มแข็งที่สุดในบรรดาชาติพันธุ์มีทหารถึง 25,000 นายไม่อยากได้ Federation เท่าไหร่ “ว้าอยากตั้งรัฐเป็นของตัวเองมากกว่า”
ในส่วนของกองกำลังฉานใต้ Shan State Army (SSA) ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์ที่ต่อสู้เพื่อสหพันธรัฐบอกกับแนวหน้าว่าวันนี้ SSA มีกองกำลังเข้มแข็งพอๆ กับเมื่อคราวขุนส่า เป็นแม่ทัพเมื่อปี 2538 “แต่แตกกันตรงที่ครั้งนี้เรารบไปเจรจาไป” โฆษก SSA กล่าวแล้วเสริมว่า
“...ขุนส่าไม่ได้พ่ายพม่า แต่พ่ายจีนเพราะจีนร่วมมือกับพม่าทำให้รัฐฉานไม่สามารถแยกตัวออกจากพม่าได้...สิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้คือเราต้องทำให้ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากจีนให้ได้ มิฉะนั้น SSA จะประสบชะตากรรมเดียว MTA (Mong Tai Army ที่นำโดยขุนส่า)
ปัญหาพม่าซับซ้อนมีความขัดแย้งอยู่หลายมิติ พม่ากำลังเจอศึกหลายหน้าเจอปัญหาหลายด้าน ดังนั้นการที่ประชาคมนานาชาติโดยเฉพาะตะวันตกหรือแม้แต่อาเซียนเองเน้นแต่จะแก้ปัญหาทหารพม่ากับนางออง ซาน ซู จี ซึ่งเป็นพม่าด้วยกันจึงไม่ตอบโจทย์ปัญหาพม่ามากนัก
ตะวันตกเน้นกดดันให้ทหาพม่าปล่อยตัวนางออง ซาน ซู จี ซึ่งถูกควบคุมตั้งแต่ 1 ก.พ. สหรัฐก็เน้นเรื่อง บอยคอตต์นายพลมิน อ่อง หล่าย และทหารหลายรายรวมทั้งลูกชายนายพลมิน อ่อง หล่าย สองคนและให้สถาปนารัฐบาลที่ชนะเลือกตั้ง 8 พ.ย. 2563 ขึ้นมาใหม่
ฝ่ายอาเซียนมีความพยายามให้สองฝ่ายเจรจาปรองดองกันแบ่งปันอำนาจถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน
“ทางที่ดีที่สุดของพวกเขา (มิน อ่อง หล่าย กับออง ซาน ซู จี) คือเดินไปข้างหน้าด้วยกัน วิธีนี้ได้พิสูจน์แล้วเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา พวกเขาต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน” นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีต่างประเทศไทยให้สัมภาษณ์สำนักข่าว Asia News Network
นายดอนกล่าวว่า ประชาคมนานาชาติและอาเซียนให้ความสำคัญกับการเจรจาและสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกันเพื่อบรรลุถึงข้อยุติแบบสันติในพม่า
“ยังต้องมีความพยายามของประชาคมนานาชาติโดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านเพื่อหาข้อยุติ ข้อยุติของเราคือแสวงหาลู่ทางที่สร้างกลไกให้เกิดความสัมพันธุ์ระหว่างคู่ขัดแย้ง” เขากล่าว
อย่างไรก็ตาม นายดอนยอมรับว่าปัญหาพม่าจะแก้ไขชั่วข้ามคืนไม่ได้ “เราต้องเข้าใจพวกเขาและสื่อสารว่า พม่าสามารถกลับเป็นปกติได้ เราไม่ต้องการเห็นการนองเลือดบนถนน เราต้องการเห็นสถานการณ์ win win..” นายดอนกล่าว
“ทุกคนต้องการให้ยุติโดยเร็ว แต่ต้องไม่ลืมว่านี้เพิ่งผ่านมาเพียงเดือนกว่า และเหตุการณ์ในพม่าหลายประเด็นในอดีตไม่เคยจบโดยเร็ว..” นายดอนกล่าวสรุป
...หลายเหตุการณ์ในพม่าไม่เคยจบโดยเร็วเพราะพม่ามีหลายชาติพันธุ์ มีวัฒนธรรมหลากหลาย แต่หลายทศวรรษที่ผ่านมาประชาคมนานาชาติสนใจแต่เรื่องแก้ปัญหาคนพม่า กลุ่มชาติพันธุ์หลากหลายที่ร่วมต่อสู้เพื่อเอกราชกันมา นานาชาติให้ความสนใจน้อยมาก
เท่าที่เรามีประสบการณ์กับกลุ่มชาติพันธุ์ในพม่าก็พบว่ามีแต่องค์กรเอกชน หรือเอ็นจีโอ ที่เข้าไปคลุกคลีกับกลุ่มชาติพันธุ์ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ไร้พรมแดนและกลุ่มพัฒนาทางการศึกษาและกลุ่มเผยแพร่ศาสนาที่แสดงได้หลายบทบาท
แต่พอเกิดปัญหายึดอำนาจในพม่า เอ็นจีโอที่เคยทำมาหากินกับกลุ่มชาติพันธุ์ กลับไปทุ่มเทความสนใจให้กับปัญหาการเมืองของคนพม่า
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่าเอ็นจีโอ 173 องค์กรจาก 31 ประเทศ เขียนจดหมายถึงสภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเรียกร้องให้ปิดล้อมพม่าโดยกล่าวว่า
“รัฐบาลหลายประเทศที่ได้รับอนุญาตการส่งผ่านอาวุธให้แก่เมียนมา รวมถึงจีน, อินเดีย, อิสราเอล, เกาหลีเหนือ, ฟิลิปปินส์, รัสเซีย และยูเครน ควรยุติการจัดส่งอาวุธ, เครื่องกระสุน และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องโดยทันที”
เอ็นจีโอซึ่งทำมาหากินกับกลุ่มชาติพันธุ์ดันไปสนใจแต่เรื่องปิดล้อมการส่งอาวุธให้กองทัพพม่า พวกเขามองข้ามอาวุธยุทธภัณฑ์ที่ส่งผ่านชายแดนมายังกลุ่มชาติพันธุ์ โดยเฉพาะชาติพันธุ์ที่อยู่ใกล้ชิดติดชายแดนจีน อาทิ กลุ่มว้า คะฉิ่นปะหล่อง ปะโอ ฯลฯ นี่ไงถึงได้พูดว่า #ปัญหาพม่าอย่ามองข้ามกลุ่มชาติพันธุ์#
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี