มีการ “สาดโคลน” ด้วยข้อมูลเท็จ โดยปราศจากพยานหลักฐานใดๆ ทั้งสิ้น
กล่าวหาทำนองว่า ไฟเซอร์เสนอขายวัคซีนให้ไทย 13 ล้านโดส แต่รัฐบาลไทย ไม่ซื้อ แม้จะมีเงื่อนไขว่า ให้วัคซีนก่อน จ่ายเงินทีหลังได้ ก็ถูกปฏิเสธ ยิ่งไปกว่านั้น ยังนั่งเทียนกล่าวหาต่อไปอีกด้วยว่า ข้อเสนอนี้มาถึงประเทศไทย 4 ครั้ง จากนั้น เจ้าหน้าที่ไทยไปคุยอย่างไรไม่ทราบ ฝ่ายไฟเซอร์เลิกมาคุยด้วยอีกเลย
นั่นเพื่อให้คนจินตนาการต่อไปในทำนองว่า มีการตบทรัพย์ ด้วยหรือไม่?
คนที่ใช้วิธี “สาดโคลน” แม้กระทั่งกลาง “โควิด” เพื่อหวังให้เกิดความตื่นตระหนก โกรธแค้น ชิงชัง ต่อต้าน หรือกระทั่งขับไล่เปลี่ยนแปลงฝ่ายบริหารให้เป็นพรรคพวกของตนได้มีอำนาจบ้างนั้น นับว่า สารเลวสิ้นดี
ไม่คิดถึงอื่นใดเลย นอกจากความกระสันในอำนาจ
1. สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ได้ชี้แจงชัดเจนแล้ว
แถลงว่าข้อมูลทั้งหมดนั้น เป็นเท็จ
ไม่มีข้อเสนอที่ว่าหากจัดซื้อวัคซีนของไฟเซอร์แล้ว ไม่ต้องวางเงิน เอาวัคซีนไปใช้ได้ก่อน ไม่มีการเสนอมา 4 รอบแล้วถูกทางไทยปฏิเสธ ที่ผ่านมา ไม่เคยมีการปฏิเสธการเข้าพบ ฯลฯ
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการสาธารณสุข ยืนยันเพิ่มเติมด้วยว่า ที่ผ่านมา คุณลักษณะของวัคซีนไฟเซอร์ มีข้อจำกัดเรื่องการขนส่ง จัดเก็บ และระยะเวลาส่งมอบ แต่ด้วยการปรับปรุงให้สามารถจัดเก็บได้สะดวกขึ้น การขยายช่วงอายุผู้สามารถรับวัคซีนได้ในกลุ่มเด็กตั้งแต่ 16 ปี และอีกไม่นานในเด็กอายุ 12 ปี อีกทั้งบริษัทฯ ได้มีการขยายกำลังการผลิตออกไป จึงทำให้รัฐบาลให้ความสนใจ และได้เชิญผู้แทนบริษัทไฟเซอร์ในประเทศไทยเข้าหารือ ในวันที่ 22 เม.ย. ซึ่งตนร่วมเป็นประธานในครั้งแรก และได้ดำเนินการสั่งจองพร้อมเข้าสู่การพิจารณาร่างเอกสารต่างๆ เพื่อให้สามารถส่งมอบวัคซีนให้ได้เร็วที่สุด
2. เรื่องนี้ กระทรวงสาธารณสุข ควรต้องดำเนินคดีกับบุคคลที่ออกมาสาดโคลนใส่ร้ายป้ายสีอย่างถึงที่สุด
ทั้งนักการเมือง หรือแม้แต่สื่อมวลชนที่ปลุกปั่นเรื่องนี้
ใครก็ตาม มิได้แสดงความเห็นโดยสุจริต และเป็นการสาดโคลนใส่คนทำงานในสถานการณ์โควิด ที่มุ่งทำลายความน่าเชื่อถือ ทำลายเกียรติภูมิ ทำลายการยอมรับในการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐบาล อันจะมีผลต่อการแก้ไขสถานการณ์โควิดต่อไปด้วย ควรถูกจัดการเด็ดขาด มิให้เป็นเยี่ยงอย่าง
3. ส่วนประเด็นว่า ทำไมมาซื้อวัคซีนไฟเซอร์ได้ในช่วงนี้? ที่บางฝ่ายไปปลุกปั่นทำนองว่า ทำไมไม่ซื้อมาตั้งนานแล้ว แสดงว่าที่ผ่านมาไม่ได้เจรจาพูดคุยจริงจัง
ข้อจำกัดทั้งหลายเป็นแค่ข้ออ้างหรือไม่?
ล่าสุด มีข้อเขียนใน “ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย” ซึ่งเป็นบล็อกงานเขียนของหมอภูมิแพ้และวิทยาภูมิคุ้มกันคลินิก ว่าด้วยเรื่อง “ทำไมจึงเกิดข้อตกลง!! การจัดหาวัคซีนไฟเซอร์ 10 ล้านโดสในช่วงนี้”
ให้ข้อมูล ข้อคิดเห็น ที่ฉายให้เห็นรายละเอียดและเพิ่มเติมความเข้าใจได้เป็นอย่างดี
ว่าข้อจำกัดก่อนนี้คืออะไร?
ทำไมอิสราเอลได้ฉีดไฟเซอร์ไปมากมาย แลกกับอะไร?
ไฟเซอร์จะเข้ามาเสริมกับชนิดวัคซีนที่เราจัดหาไว้แล้วอย่างไร?
หมอเฉลิมชัย ระบุว่า
....
จากข่าวที่ปรากฏทั่วไปแล้วว่า ทางการไทยกับบริษัทไฟเซอร์บรรลุถึงข้อตกลงร่วมกันในหลักการ
ที่จะมีการจัดส่งหรือนำเข้าวัคซีนไฟเซอร์ จำนวน 10,000,000 โดส เพื่อฉีดให้กับคนไทย โดยจะทยอยส่งให้เสร็จสิ้นภายในสิ้นปี 2564 นั้น
คงจะต้องมาทำความเข้าใจในหลักการ และข้อมูลบางประการ เพื่อจะได้เข้าใจเหตุการณ์ดังกล่าวได้ดียิ่งขึ้น
วัคซีนป้องกันโควิดของบริษัทไฟเซอร์แห่งสหรัฐอเมริกา มีจุดโดดเด่นมาก ในเรื่องประสิทธิภาพในการป้องกันโรคสูงถึง 95% ซึ่งเป็นการทดลองในเฟสสาม มีจำนวนอาสาสมัคร 40,000 คนเศษ (แต่เมื่อมีการฉีดในประชาชนจริงนับล้านคน ประสิทธิภาพก็ลดลงมาเป็น 91%)
แต่ด้วยข้อจำกัดหรือจุดอ่อนของวัคซีนในช่วงแรก จึงทำให้ประเทศไทยต้องใช้เวลา ในการติดตามข้อมูลต่างๆ เพื่อพิจารณาความเหมาะสม ได้แก่
1) วัคซีนบริษัทไฟเซอร์ ใช้เทคโนโลยีใหม่เอ็มอาร์เอ็นเอ (mRNA) ซึ่งไม่เคยใช้ผลิตวัคซีนชนิดใดในโลกมาก่อนเลย ไม่มีใครสามารถรับประกันความปลอดภัยของวัคซีนที่ผลิตโดยเทคโนโลยีแบบนี้ได้ แม้มีการทดลองฉีดกับอาสาสมัครเฟสสามก็เพียงจำนวนหลักหมื่นคน เมื่อฉีดจริงกับคนนับล้านคน จะมีผลระยะสั้นระยะยาวเป็นอย่างไร ไม่มีผู้ใดทราบ หรือให้การรับประกันได้ ทางบริษัทเองก็จะไม่รับประกันผลข้างเคียงรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นได้
2) การเก็บรักษาวัคซีนยุ่งยาก เนื่องจากวัคซีนซึ่งเป็นสารพันธุกรรมของไวรัสที่บอบบางมาก รักษาคุณภาพให้คงที่ไว้ได้ยาก จึงต้องเก็บรักษาที่อุณหภูมิต่ำมาก ระดับ -70 องศาเซลเซียส ต้องใช้ตู้เย็นที่ผลิตขึ้นเป็นพิเศษ ราคาสูงนับล้านบาท จะทำให้การกระจายวัคซีนไปตามโรงพยาบาลต่างๆ เพื่อที่จะคงคุณภาพสูงเท่ากับที่ออกมาจากโรงงานเป็นไปได้ยาก
3) ราคาวัคซีนในช่วงแรกค่อนข้างสูง ประมาณ 20 เหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบกับวัคซีนแอสตราฯ ที่เราจะผลิตเองอยู่ที่ราคาเพียง 5 เหรียญสหรัฐ
ส่วนวัคซีนของ Sinovac ราคา 17 เหรียญสหรัฐ ก็สั่งเข้ามาเป็นจำนวนเพียงพอที่จะฉีดก่อนที่วัคซีนแอสตราฯจะได้รับในเดือนมิถุนายน จึงสั่ง 2.5 ล้านโดส
แต่เมื่อเวลาผ่านไปหกเดือน ก็มีการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลหลายอย่าง ซึ่งทำให้วัคซีนไฟเซอร์มีความเหมาะสมและน่าสนใจในประเทศไทยเพิ่มขึ้น ได้แก่
1) ผลข้างเคียงของวัคซีนจากเทคโนโลยีใหม่ ปรากฏชัดเจนขึ้นเป็นลำดับว่า อยู่ในเกณฑ์ยอมรับได้ คือ ในช่วงแรก พบการแพ้ที่รุนแรงแบบช็อก(Anaphylaxis) ในสหรัฐอเมริกา 11 รายต่อ 1,000,000 เข็มการฉีด และได้ลดลงเหลือ 4 รายต่อ 1,000,000 เข็มการฉีด และไม่มีผู้เสียชีวิต ตลอดจนสามารถพิสูจน์ได้ว่า การเสียชีวิต
ของผู้สูงอายุในนอร์เวย์ที่ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ 33 ราย ไม่ได้เกิดจากวัคซีนโดยตรง
2) บริษัทไฟเซอร์ ได้เร่งพัฒนา ทำให้วัคซีนสามารถดูแลเก็บรักษาได้ง่ายขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องเก็บที่ -70 องศาเซลเซียสอีกต่อไป หากแต่สามารถเก็บในระดับ -20 องศาเซลเซียส เหมือนวัคซีนของบริษัท Moderna ได้
ซึ่งประเทศไทยมีตู้เก็บที่อุณหภูมิ -20 องศาเซลเซียสอยู่จำนวนมากพอสมควร
ยิ่งไปกว่านั้น ทางบริษัทยังพัฒนาจนได้ข้อยุติว่า วัคซีนที่เก็บ -20 องศาเซลเซียสได้เป็นปีนั้น เมื่อนำออกมาเก็บในตู้เย็น 2-8 องศาเซลเซียส ก็ยังสามารถรักษาคุณภาพได้นาน 1-3 เดือน ซึ่งเป็นระยะเวลาเพียงพอที่ประเทศไทยจะนำไปฉีดในจังหวัดต่างๆ ได้
3) ราคาวัคซีนมีแนวโน้มขยับมาสู่ผู้ซื้อเพิ่มขึ้น ทำให้ราคาที่มีการตกลงกันในเบื้องต้นลดลงอย่างมาก น่าจะครึ่งหนึ่ง
และที่น่าสนใจเพิ่มขึ้นคือ ขณะนี้บริษัทไฟเซอร์อาจจะเป็นบริษัทแรกในโลก ที่มีผลการศึกษาทดลองอย่างเป็นทางการว่า สามารถฉีดในเด็กอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปได้ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ยังไม่มีวัคซีนชนิดใดระบุให้ฉีดได้เลย
เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นจากกรณีที่บริษัทไฟเซอร์ได้ทำความตกลงกับรัฐบาลอิสราเอล ให้ทดลองฉีดในเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปด้วย เพื่อจะได้เป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ทั้งกับตัวบริษัทเอง และกับประชากรโลก เพื่อแลกกับการที่อิสราเอล จะได้รับวัคซีนจำนวนมากและรวดเร็วก่อนประเทศอื่น ทั้งนี้ต้องรับเงื่อนไข ราคาวัคซีนซึ่งสูงกว่าราคาตลาดไปด้วยพร้อมกัน และในขณะนี้อิสราเอล ก็ต้องยอมรับเงื่อนไขของบริษัท ที่จะให้ฉีดวัคซีนในเด็กอายุห้าขวบขึ้นไปด้วย
จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้น จึงทำให้ทางการของประเทศไทย สนใจวัคซีนไฟเซอร์มากขึ้น มีความเป็นไปได้และมีความเหมาะสมดังกล่าว โดยที่ได้มีการประสานกันมาหลายเดือน
ในที่สุด ก็ได้ข้อยุติที่จะดำเนินการในหลักการ ที่จะจัดหาวัคซีน เหลือแต่การดำเนินการในรายละเอียดต่อไป
หลักการดังกล่าวได้แก่
1) วัคซีนที่จะดำเนินการคือ 10,000,000 โดส
2) ราคาวัคซีนนั้นจะต่ำกว่าราคาในอดีตคือ 20 เหรียญสหรัฐ
3) ทางบริษัทจะทยอยจัดส่งวัคซีน เริ่มต้นตั้งแต่ต้นไตรมาสที่ 3 (ก.ค.-ส.ค.2564) และให้เสร็จสิ้นก่อนสิ้นปี 2564
ก็เป็นเหตุเป็นผล เป็นข้อมูลเพิ่มเติม ที่มีพัฒนาการ การเปลี่ยนแปลงไป ของวัคซีนบริษัทไฟเซอร์ จนกระทั่งมีความเหมาะสม 1) มีความปลอดภัยเพิ่มขึ้น 2) มีความสะดวกที่จะกระจายวัคซีนที่สามารถคงคุณภาพไว้ได้ 3) ฉีดในเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปได้
และสามารถนำมาเสริมวัคซีนของ AstraZeneca 61,000,000 โดส วัคซีนของ Sinovac 2.5 ล้านโดสได้ และเป็นการเสริมคู่ขนานไปกับวัคซีนของรัสเซีย (Sputnik V) 10,000,000 โดส
และในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ก็จะมีวัคซีนที่จะเจรจาของ Johnson & Johnson และ Sinopharm รวมแล้วประมาณ 10-20 ล้านโดส
ซึ่งก็น่าจะเพียงพอในสิ้นปีนี้ สำหรับสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ให้เกิดขึ้นในประเทศไทยของเราต่อไป
....
ได้ข้อกระจ่างอย่างนี้ ก็หวังว่า คนที่ชื่นชมอิสราเอลว่าได้ฉีดไฟเซอร์เกินครึ่งประชากรไปแล้ว ถ้ามองอย่างเป็นธรรม หากไทยเราไปตกลงกับไฟเซอร์ โดยยอมจ่ายราคาสูงกว่าท้องตลาด ยอมใช้คนไทยเป็นหนูทดลอง ในตอนนั้นซึ่งยังไม่มีข้อมูลความปลอดภัยและการใช้จริงแบบในวันนี้ คนไทยเราอยากจะเอาอย่างอิสราเอลจริงๆหรือ? ในเมื่อสถานการณ์แพร่ระบาดของไทยตอนนั้นไม่ได้รุนแรงเหมือนอิสราเอล
หยุดสาดโคลนกลางโควิด หยุดประดิษฐ์วาทกรรมเท็จที่สร้างความสับสนในสังคมเถิด
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี